โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พิจารณางดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันฟังยุติได้ว่า เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2536 โจทก์ขายที่ดินซึ่งเป็นที่ดินที่โจทก์ซื้อร่วมกับนายสมศักดิ์ นายสุทัศน์และนางอุไรเป็นเงิน 3,200,000 บาท และเป็นการขายที่ได้กระทำภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้น โจทก์และเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินนั้นมิได้ยื่นแบบแสดงรายการและเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ เจ้าพนักงานตรวจสอบภาษีของจำเลยมีหนังสือขอทราบรายละเอียดการขายอสังหาริมทรัพย์ลงวันที่ 22 มีนาคม 2543 ให้โจทก์ส่งสำเนาสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวและหลักฐานการชำระภาษีธุรกิจเฉพาะ โดยส่งหนังสือดังกล่าวไปยังนายสมศักดิ์ตามที่อยู่ที่แจ้งในสัญญาซื้อขายที่ดินแต่ไม่มีผู้รับ ต่อมามีหนังสือแจ้งการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะให้นายสมศักดิ์โดยประกาศในหนังสือพิมพ์ และส่งหนังสือแจ้งการประเมินให้โจทก์โดยการปิด ตามบันทึกการปิดหนังสือแจ้งการประเมิน โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายกำหนดเวลาการอุทธรณ์และยื่นคำอุทธรณ์ ซึ่งคำอุทธรณ์มีข้อความว่าการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวไม่ได้นำไปเสียภาษีธุรกิจเฉพาะนั้น มิได้มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี จึงของดเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม จำเลยอนุญาตให้ขยายกำหนดเวลาการอุทธรณ์ตามมาตรา 3 อัฏฐ แห่งประมวลรัษฎากร ต่อมาคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาแล้ว มีคำวินิจฉัยกรณีเบี้ยปรับว่า โจทก์ไม่ได้ให้ความร่วมมือกับเจ้าพนักงานในการตรวจสอบ จึงไม่มีเหตุอันควรงดหรือลดเบี้ยปรับให้ตามที่ร้องขอ ส่วนเงินเพิ่มนั้นเป็นไปโดยผลของกฎหมายตามมาตรา 89/1 ประกอบมาตรา 91/21 (6) แห่งประมวลรัษฎากร ไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายให้พิจารณางดหรือลดให้ได้จึงไม่อาจพิจารณางดหรือลดให้ได้
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ในประการแรกว่า การประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะของเจ้าพนักงานประเมินชอบหรือไม่ โดยโจทก์อุทธรณ์ว่า เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยมิได้ออกหมายเรียกโจทก์มาไต่สวน โดยกำหนดเวลาล่วงหน้าให้โจทก์มาให้ถ้อยคำไม่น้อยกว่า 7 วัน นับตั้งแต่วันส่งหมายตามประมวลรัษฎากร มาตรา 23 จึงเป็นการประเมินที่ไม่ชอบ เห็นว่า ตามลักษณะ 2 ภาษีอากรฝ่ายสรรพากร หมวด 2 วิธีการเกี่ยวแก่ภาษีอากรประเมิน มาตรา 15 บัญญัติว่า เว้นแต่จะมีบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในหมวดต่างๆ แห่งลักษณะนี้ ให้ใช้บทบัญญัติในหมวดนี้บังคับแก่การภาษีอากรประเมินทุกประเภท ดังนั้น มาตรา 23 แห่งประมวลรัษฎากรซึ่งอยู่ในหมวด 2 นี้ จึงใช้ในกรณีที่ไม่มีบทบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น แต่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะของโจทก์โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 91/15 (1), 91/16 (1), 91/21 (6) แห่งประมวลรัษฎากร เป็นการใช้อำนาจตามบทบัญญัติโดยเฉพาะที่อยู่ในหมวด 5 ว่าด้วยภาษีธุรกิจเฉพาะ ซึ่งมีบทบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นแตกต่างจากบทบัญญัติของมาตรา 23 แห่งประมวลรัษฎากร กรณีจึงไม่ต้องนำมาตรา 23 และ 24 แห่งประมวลรัษฎากร อันเป็นบททั่วไปมาใช้บังคับแก่การประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะของโจทก์ การประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะของเจ้าพนักงานประเมินชอบแล้ว อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้แก้ไขการประเมินตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์เฉพาะเบี้ยปรับคงให้เรียกเก็บเพียงร้อยละ 50 ของเบี้ยปรับตามกฎหมาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ