คดีได้ความว่ามีคนร้าย 6 คน สามคนอยู่ที่ประตูรั้วบ้านอีก 3 คนเข้าไปในรั้วบ้าน ชายที่ยังจับไม่ได้ขึ้นไปบนบ้านจำเลยที่ 1 กับนายฉัตรถือมีดคอยรับของอยู่ข้างล่าง จำเลยที่ 2, 3 กับนายประเสริฐคอยรับของดูต้นทางหน้าประตูรั้วบ้าน คนขึ้นบนเรือนส่งปืนให้แก่นายฉัตร ๆ รับส่งให้นายประเสริฐ ๆได้ปืนแล้วเดินกลับไปปากซอย จำเลยที่ 2, 3 เดินตามออกมาด้วยสามคนยังคงอยู่ในบ้านตอนนี้เจ้าทรัพย์มาพบคนที่ขึ้นบนเรือน ๆ ชักมีดขู่เข็ญเจ้าทรัพย์แล้วหนีไปพร้อมกับจำเลยที่ 1 และนายฉัตร
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เชื่อว่าจำเลยทั้งสามกับพวกสมคบกันทำการปล้นทรัพย์รายนี้จริง จำคุกคนละ 10 ปีตามมาตรา 301 เพิ่มโทษจำเลยที่ 2ตามมาตรา 72 เป็นจำคุก 15 ปี พ้นโทษแล้วให้ส่งไปกักกันอีก 3 ปี ตามมาตรา 8, 9 พระราชบัญญัติกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้ายส่วนจำเลยที่ 1 เมื่อเพิ่มและลดโทษตามมาตรา 73, 59 แล้วคงจำคุก 10 ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยศาลล่างทั้งสองสำหรับจำเลยที่ 1 แต่เห็นว่าสำหรับจำเลยที่ 2, 3 นั้นเมื่อได้ปืนก็ปลีกตัวไปเสียก่อนแล้วซึ่งขณะนั้นยังหาได้มีการขู่เข็ญเจ้าทรัพย์อันเป็นองค์สำคัญในความผิดฐานปล้นทรัพย์แต่อย่างใดไม่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่ในภายหลังขาดตอนและมิได้เกี่ยวข้องกับจำเลยทั้งสองคนนี้แล้ว จำเลยทั้งสองจึงควรมีความผิดฐานเป็นตัวการในการลักทรัพย์ในเคหะสถานโดยมีพรรคพวกและศาสตราวุธเท่านั้น ไม่เป็นผิดฐานปล้นทรัพย์ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมา ซึ่งต่างกับการกระทำของจำเลยที่ 1 เพราะจำเลยที่ 1 ยังคงถือมีดคุมเชิงอยู่ในบ้านของเจ้าทรัพย์ในขณะที่เกิดการขู่เข็ญเจ้าทรัพย์ขึ้น และจำเลยที่ 1 และนายฉัตรมีโอกาสที่จะช่วยเหลือพรรคพวกของตนที่เป็นคนเก็บของอยู่บนเรือนนั้นได้จึงต้องเป็นผิดฐานเป็นโจรปล้นทรัพย์
จึงพิพากษาแก้เฉพาะจำเลยที่ 1 ให้ลดโทษตามกฎหมายอาญา มาตรา 58 ทวิ เสีย 1 ใน 3 ส่วนจำเลยที่ 2, 3 ผิดตามมาตรา 294 ตอน 2อันประกอบด้วยมาตรา 293 ข้อ 7-11 และมาตรา 294 ข้อ 1, 59, 73 คงเหลือกำหนดโทษจำเลยที่ 3 3 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 2, 5 ปี นอกจากนี้คงเป็นไปตามเดิมตลอดจนเรื่องโทษกักกัน