โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๔๙๓ เวลากลางคืน จำเลยสมคบกันลักลอบเล่นการพะนันไฮโลและขลุกขลิก อันเป็นการพะนันประเภทห้ามขาด พะนันเอาทรัพย์สินกัน ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.การพะนัน ๒๔๗๘
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ รับว่า ได้เล่นการพะนันไฮโลพะนันเอาสตางค์ไปซื้อสุรา แต่ไม่ได้เล่นขลุกขลิก จำเลยที่ ๗ รับว่าเป็นเจ้าบ้าน แต่มิได้รับผลประโยชน์อย่างใดในการเล่นการพะนันรายนี้
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ฟ้องเคลือบคลุม พิพากาายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ถึง ๖ ฐานเล่นการพะนันไฮโลโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.การพะนัน ๒๔๗๘ มาตรา ๔-๑๒ (๒) ฯลฯ
จำเลยที่ ๕ ฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาปรึกษาคดีแล้ว เห็นว่า การที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยลักเล่นการพะนันสองอย่างในเวลาเดียวกันเช่นคดีนี้ ยังเรียกไม่ได้ว่าเป็นฟ้องเคลือบคลุม เพราะโจทก์อาจนำสืบได้ว่าจำเลยได้ลักเล่นการพะนันดังเช่นโจทก์ฟ้อง และก็ไม่เห็นว่าจะทำให้จำเลยหลงไหลข้อต่อสู้แต่อย่างใด เพราะข้อกล่าวหาชัดแจ้งอยู่แล้วว่า จำเลยลักเล่นการพะนันชะนิดไฮโลและขลุกขลิก จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ ก็รับว่าได้เล่นการพะนันไฮโล ซึ่งเป็นการพะนันอย่างหนึ่งในสองอย่างที่โจทก์ฟ้องมาโจทก์พอใจ เท่าที่จำเรับจึงไม่นำสืบพะยาน ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยเพียงเท่าที่จำเลยรับนั้นได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
จึงพิพากษายืน