โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2539 นางจุฑารัตน์ เกียรติเลิศพงศา ภริยาโจทก์ยื่นฟ้องโจทก์กับบุคคลอื่นรวม 5 คน เป็นจำเลยในคดีแพ่ง ระหว่างการพิจารณาคดีนางจุฑารัตน์ตกลงกับนายสุรชัย ศิริภากรณ์ จำเลยที่ 4 โดยได้รับเงินจากนายสุรชัยจำนวน11,300,000 บาท แล้วนางจุฑารัตน์ถอนฟ้องคดีดังกล่าว คดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาจำเลยได้ประเมินให้โจทก์เสียภาษีเงินได้จากยอดเงินที่นางจุฑารัตน์รับไปดังกล่าว เป็นเงินค่าภาษี จำนวน 3,208,086 บาท เบี้ยปรับจำนวน 3,208,086 บาท เงินเพิ่มจำนวน914,304.51 บาท รวมทั้งสิ้น 7,330,476.51 บาท โจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และได้ยื่นฟ้องนางจุฑารัตน์ต่อศาลจังหวัดนนทบุรีแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวขอให้พิพากษาว่าการสมรสระหว่างโจทก์กับนางจุฑารัตน์เป็นโมฆะ ศาลจังหวัดนนทบุรีแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาว่าการสมรสเป็นโมฆะต่อมาคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยเรียกเก็บเงินค่าภาษีจำนวน 3,208,086บาท เบี้ยปรับจำนวน 1,604,043 บาท และเงินเพิ่มจำนวน 914,304.50 บาท รวมทั้งสิ้นจำนวน 5,726,433.51 บาท โดยให้เหตุผลว่า นางจุฑารัตน์ภริยาเป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินถือว่าเงินได้เป็นของสามี เจ้าพนักงานมีอำนาจออกหมายเรียกสามีมาไต่สวนประเมินภาษีได้ โจทก์กับนางจุฑารัตน์มิได้จดทะเบียนหย่าขาดจากกัน ความเป็นสามีภริยายังมีอยู่ตลอดไป เงินได้ที่ภริยาได้รับจึงถือเป็นเงินได้ของคู่สมรสมิใช่เงินได้ส่วนตัวภริยา การสมรสที่เป็นโมฆะเกิดขึ้นภายหลังไม่กระทบถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตซึ่งได้มาก่อนการบันทึกความเป็นโมฆะในทะเบียนสมรส การประเมินของเจ้าพนักงานถูกต้อง กรณีมีเหตุผ่อนผัน ลดเบี้ยปรับลงคงเรียกเก็บเพียงร้อยละ 50 ของเบี้ยปรับตามกฎหมาย ส่วนเงินเพิ่มไม่อาจงดหรือลดให้ได้ โจทก์ได้รับคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม2543 แต่โจทก์ไม่เห็นด้วยกล่าวคือ นางจุฑารัตน์ฟ้องคดีเองมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ทั้งยังฟ้องโจทก์ด้วย กรณีจึงเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์แก่โจทก์คู่สมรส ถือไม่ได้ว่านางจุฑารัตน์ฟ้องคดีเพื่อประโยชน์ต่อทรัพย์สินที่เป็นสินสมรส เมื่อนางจุฑารัตน์เป็นผู้รับเงินจากนายสุรชัยผู้ซื้อที่ดินในคดีที่ตนยื่นฟ้องจึงควรเป็นเงินได้อื่นใดของผู้มีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(8) ซึ่งจำเลยควรเรียกนางจุฑารัตน์มาตรวจสอบไต่สวนและประเมินภาษีเงินจากนางจุฑารัตน์ผู้มีเงินได้จากการฟ้องคดี เนื่องจากนางจุฑารัตน์มีเงินได้เพียงผู้เดียว และเงินได้จากการฟ้องคดีที่นางจุฑารัตน์ได้รับไว้เพียงผู้เดียวมิใช่เงินได้จากสินสมรสอันจะถือเป็นเงินได้ของภริยา ซึ่งโจทก์เป็นสามีจะต้องรับผิดค่าภาษีเนื่องจากที่ดินที่พิพาทเป็นของนายเกรียง เกียรติเลิศพงศา มิใช่สินสมรส นอกจากนี้การสมรสที่เป็นโมฆะ จะไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาทรัพย์สินฝ่ายใดมีหรือได้มาไม่ว่าก่อนหรือหลังการสมรสคงเป็นของฝ่ายนั้น เมื่อการสมรสของโจทก์กับนางจุฑารัตน์ตกเป็นโมฆะแล้วย่อมไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินรวมทั้งสิทธิและหน้าที่ โจทก์จึงหาต้องรับผิดในเงินค่าภาษีจากเงินได้ที่นางจุฑารัตน์รับไว้ไม่ ขอให้พิพากษาเพิกถอนการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามแบบหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.12 เลขที่ สต.7/01005290/1/102477 ลงวันที่ 25กันยายน 2541 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เลขที่ สภ.1(อธ.3)/83/2543 ลงวันที่ 26 มิถุนายน 2543
จำเลยให้การว่า นางจุฑารัตน์เป็นภริยาโจทก์ที่อยู่ร่วมกันมาตลอดปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว ในปี 2539 นางจุฑารัตน์ได้รับเงินไว้จำนวน 11,300,000 บาท จากผู้อื่นเพื่อยอมความในคดีที่นางจุฑารัตน์เป็นโจทก์ฟ้องคดีนี้กับพวก นางจุฑารัตน์จึงเป็นผู้มีเงินได้พึงประเมิน ซึ่งตามประมวลรัษฎากร มาตรา 57 ตรี ให้ถือเอาเงินได้พึงประเมินของนางจุฑารัตน์เป็นเงินได้ของสามีคือโจทก์ และให้สามีมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษี ซึ่งไม่มีบทกฎหมายใดกำหนดว่าเฉพาะเงินได้ที่เป็นสินสมรสเท่านั้นที่จะต้องให้สามีรับผิดค่าภาษี โจทก์มีหน้าที่ยื่นรายการและเสียภาษีจากเงินได้ดังกล่าวและแม้การสมรสของโจทก์กับนางจุฑารัตน์จะเป็นโมฆะ แต่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1500 บัญญัติว่า ไม่กระทบถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตและได้มาก่อนมีการบันทึกความเป็นโมฆะไว้ในทะเบียนสมรส ซึ่งศาลมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2542 ให้การสมรสของโจทก์กับนางจุฑารัตน์เป็นโมฆะแต่สิทธิและหน้าที่ในการประเมินภาษีของจำเลย และหน้าที่ความรับผิดชอบของโจทก์ในการยื่นแบบรายการและเสียภาษีเงินได้พึงประเมินของนางจุฑารัตน์เกิดขึ้นตั้งแต่ปีภาษี2539 โจทก์จึงยังคงมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการยื่นรายการและเสียภาษีเหมือนเดิมขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เป็นสามีนางจุฑารัตน์ เกียรติเลิศพงศา เมื่อปีภาษี 2539 นางจุฑารัตน์ ได้รับเงินจำนวน11,300,000 บาท จากจำเลยที่ 4 ในคดีหมายเลขดำที่ 371/2539 คดีหมายเลขแดงที่ 2757/2539 ของศาลจังหวัดนนทบุรี ซึ่งนางจุฑารัตน์ฟ้องโจทก์กับพวกรวม 5 คนเป็นคดีแพ่งขอถอนนิติกรรม โจทก์มิได้นำเงินจำนวนดังกล่าวมารวมคำนวณเสียภาษีเงินได้ ต่อมาเจ้าพนักงานประเมินมีหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.12)เลขที่ สต.7/01005290/1/102477 ลงวันที่ 25 กันยายน 2541 ให้โจทก์เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2539 เพิ่มเติมกับเบี้ยปรับและเงินเพิ่มรวมทั้งสิ้นจำนวน7,330,476 บาท โจทก์ อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และยื่นฟ้องนางจุฑารัตน์ต่อศาลจังหวัดนนทบุรีแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว ขอให้พิพากษาให้การสมรสระหว่างโจทก์กับนางจุฑารัตน์เป็นโมฆะ เนื่องจากนางจุฑารัตน์มีคู่สมรสอยู่แล้วในขณะที่สมรสกับโจทก์ วันที่ 3 กันยายน 2542 ศาลจังหวัดนนทบุรีแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวมีคำพิพากษาว่า การสมรสระหว่างโจทก์กับนางจุฑารัตน์เป็นโมฆะต่อมาคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์เลขที่ สภ.1(อธ.3)/83/2543ลงวันที่ 26 มิถุนายน 2543 ให้โจทก์ชำระค่าภาษีกับเบี้ยปรับและเงินเพิ่มรวมทั้งสิ้น5,726,433.51 บาท ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่า โจทก์มีหน้าที่ต้องยื่นรายการและเสียภาษีเงินได้สำหรับเงินจำนวน 11,300,000 บาท ตามฟ้องหรือไม่เห็นว่า เมื่อการสมรสระหว่างโจทก์กับนางจุฑารัตน์เป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1452 ประกอบมาตรา 1495 เนื่องจากนางจุฑารัตน์มีคู่สมรสอยู่แล้วในขณะที่สมรสกับโจทก์ มีผลเท่ากับโจทก์กับนางจุฑารัตน์มิได้เป็นสามีภริยากันมาแต่แรก จึงไม่อาจถือว่าเงินได้จำนวน 11,300,000 บาท ที่นางจุฑารัตน์ได้รับมาเป็นเงินได้ของโจทก์ ตามความในมาตรา 57 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์ไม่มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการยื่นรายการและเสียภาษีสำหรับเงินได้จำนวนนี้ การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่ชอบอุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น"
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.12) เลขที่ สต.7/01005290/1/102477 ลงวันที่ 25กันยายน 2541 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เลขที่ สภ.1(อธ.3)/83/2543 ลงวันที่ 26 มิถุนายน 2543