โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 32, 80, 91, 288, 371, 376 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน
วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน
พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 288
ประกอบมาตรา 80, 371, 376 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน
วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน
พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม,
72 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่นกับฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ ในเมือง
หมู่บ้าน หรือที่ชุมนุมชน เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
ให้ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่น ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 20 ปี ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นกับฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ ในเมือง หมู่บ้าน
หรือที่ชุมนุมชน เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
ให้ลงโทษฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 14 ปี
ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต
จำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน
หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและไม่มีเหตุสมควร เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน
ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ
ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานฆ่าผู้อื่น จำคุก 13 ปี 4 เดือน ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 9 ปี
4 เดือน ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต
จำคุก 4 เดือน ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 4 เดือน รวมจำคุก 22 ปี
16 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค
9 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง
หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชน ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน
หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
371,
376 และพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง
และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 8 ทวิ
วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ
วรรคสอง ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 12 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 8 ปี
เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นและฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว
เป็นจำคุก 21 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 โดยโจทก์และจำเลยไม่โต้แย้งในชั้นฎีกาว่า
ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงนายมาหะมะ ผู้ตาย และนายรอยะ ผู้เสียหาย หลายนัด
กระสุนปืนถูกผู้ตายบริเวณศีรษะระหว่างลำคอด้านซ้ายและบริเวณหลังเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
ส่วนผู้เสียหายถูกกระสุนปืนบริเวณหลังด้านซ้ายและหน้าแข้งขาขวา
มีแผลฉีกขาดที่หลังด้านซ้ายและหน้าแข้งขาขวา มีน้ำในช่องท้อง ม้ามฉีกขาด
กระดูกหักใต้เข่าจนมีภาวะติดเชื้อที่บาดแผลที่ขา
แพทย์ต้องตัดขาขวาระดับเหนือเข่าและตัดม้ามออก เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส
จำเลยไม่เคยได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน สำหรับความผิดฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและลงโทษจำคุกไม่เกินห้าปี
จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
จำเลยฎีกาว่าไม่ได้กระทำความผิดฐานดังกล่าว เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว
ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า
จำเลยกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น และการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวหรือไม่
และมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง
หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชน และฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง
หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควรหรือไม่ ซึ่งจะได้วินิจฉัยไปด้วยกัน เห็นว่า
แม้ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืนก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงได้ความจากผู้เสียหายว่าทั้งผู้เสียหาย
ผู้ตายและจำเลยต่างคาดไฟฉายส่องทางไว้ที่ศีรษะ
จึงเชื่อได้ว่าบริเวณที่เกิดเหตุมีแสงสว่างเพียงพอให้มองเห็นเหตุการณ์และเห็นหน้ากันได้
ผู้เสียหายเบิกความว่าบริเวณที่เกิดเหตุเป็นทางเดินแคบ ๆ สองข้างทางเป็นป่า
เมื่อพิจารณาประกอบกับภาพถ่าย เห็นได้ว่าสถานที่เกิดเหตุมีลักษณะเป็นทางเดินแคบ
ๆ ในป่า การที่บุคคลสองคนเดินสวนทางกันจึงย่อมต้องเดินสวนกันในระยะใกล้ชิดและมองว่าคนที่เดินสวนทางมาเป็นใคร
อันเป็นการสนับสนุนคำเบิกความของผู้เสียหายที่ว่าเมื่อเดินเข้าใกล้กันห่างประมาณ
1 ช่วงแขน ทำให้เห็นหน้าคนที่เดินสวนทางมาว่าเป็นจำเลยนั้น
มีน้ำหนักให้รับฟัง ผลการตรวจชันสูตรพลิกศพผู้ตายก็ปรากฏว่า
ผู้ตายมีบาดแผลถูกกระสุนปืนที่บริเวณหลังศีรษะด้านซ้าย
1 แห่ง หลังใบหูซ้าย 1 แห่ง บริเวณหลังด้านซ้าย 7 แห่ง จากลักษณะบาดแผลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าผู้ตายถูกยิงทางด้านหลังในระยะใกล้ชิด
ประกอบกับเจ้าพนักงานตำรวจตรวจพบชิ้นส่วนพลาสติกหมอนรองลูกกระสุนปืนลูกซอง
1 อัน และปลอกกระสุนปืน ขนาด 9 มม. 3 ปลอก ตกอยู่ใกล้ศพผู้ตาย กับปลอกกระสุนปืน ขนาด 9 มม. 2 ปลอก
และชิ้นส่วนลูกกระสุนปืน ขนาด 9 มม. 2 ชิ้น ห่างจากศพผู้ตาย 14.20 และ 15.20 เมตร ตามลำดับ
อันเป็นการสนับสนุนคำเบิกความของผู้เสียหายให้มีน้ำหนักรับฟังยิ่งขึ้น หลังจากเกิดเหตุผู้เสียหายได้ให้การต่อเจ้าพนักงานตำรวจชุดสืบสวนและพนักงานสอบสวนพร้อมกับชี้ภาพถ่ายของจำเลยยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้าย
ผู้เสียหายกับจำเลยต่างไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน
พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายใช้อาวุธปืนลูกซองและอาวุธปืนสั้นยิงผู้ตายและผู้เสียหาย
สำหรับฎีกาของโจทก์ที่ว่า
จำเลยยังมีความผิดฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชน และฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง
หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควรหรือไม่
นั้น
เมื่อพิจารณาคำเบิกความของผู้เสียหายประกอบกับบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุคดีอาญา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าบริเวณที่เกิดเหตุเป็นทางเดินแคบ ๆ ตามเนินเขา
บริเวณโดยรอบเป็นป่า สวนยางพารา และสวนผลไม้
ที่เกิดเหตุอยู่ห่างจากถนนสาธารณะภายในหมู่บ้านประมาณ
4 ถึง 5 กิโลเมตร ทางนำสืบของโจทก์ไม่ได้ความว่าอยู่ในเขตเมืองหรือหมู่บ้าน
ที่เกิดเหตุจึงมิใช่อยู่ในเมือง
หมู่บ้าน หรือที่ชุมนุมชน การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและผู้เสียหายในที่เกิดเหตุจึงมิใช่เป็นการยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง
หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชน อันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376 อย่างไรก็ดี จำเลยพาอาวุธปืนติดตัวไปในทางที่เกิดเหตุโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและผู้เสียหายโดยไม่มีเหตุโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะอ้างได้
จึงเป็นความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง
หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร
สำหรับการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวหรือไม่
นั้น เห็นว่า ความผิดฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต
กับความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน
หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต กฎหมายบัญญัติบทความผิดและบทลงโทษคนละมาตรากัน
ความผิดทั้งสองฐานย่อมแยกออกจากกัน และจำเลยมีเจตนากระทำความผิดต่อผู้ตายและผู้เสียหายแยกออกจากกัน
ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นและพยายามฆ่าผู้อื่นจึงเป็นความผิดต่างกรรมกัน
และต่างกรรมกับความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ดังกล่าว การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรม
หาใช่เป็นการกระทำกรรมเดียวแต่ผิดต่อกฎหมายหลายบทไม่
ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า
จำเลยมีความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน
หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน
เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด
ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490
มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371
เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 เดือน
เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานฆ่าผู้อื่น พยายามฆ่าผู้อื่น
และมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค
9 แล้ว เป็นจำคุก 21 ปี 12 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค
9