ปัญหาสืบเนื่องมาจากโจทก์พิพาทกับนางวุ่นผู้ร้องในชั้นบังคับคดี โดยโจทก์นำยึดทรัพย์สวนยางของนายเก่งหั้วจำเลยเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ตามคำพิพากษา นางวุ่นผู้ร้องยื่นคำร้องว่าผู้ร้องกับนายเก่งหั้วจำเลยเป็นเจ้าของร่วมกันในสวนยางที่โจทก์นำยึด ขอให้แบ่งสวนยางให้ผู้ร้องครึ่งหนึ่ง ถ้าแบ่งไม่ได้ก็ขอให้แบ่งเงินที่ขายทอดตลาดให้ผู้ร้องครึ่งหนึ่ง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ผู้ร้องชนะคดี โจทก์อุทธรณ์และยื่นคำร้องว่านางวุ่นผู้ร้องกรีดน้ำยางในที่พิพาทเอาเป็นประโยชน์ตนผู้เดียวตั้งแต่วันยึด ขอให้ศาลนัดนางวุ่นผู้ร้องมาประมูลค่ากรีดยางเอาเงินวางศาล ศาลชั้นต้นนัดพร้อม ผลที่สุดนางวุ่นผู้ร้องประมูลได้โดยนำเงินค่ากรีดยางมาวางศาลเดือนละ ๖๐๐ บาททุกเดือนจนกว่าคดีถึงที่สุดนับแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๐๒ เป็ฯต้นไป เงินจำนวนนี้ให้ผู้ชนะคดีได้รับไปในชั้นที่สุด ผลที่สุดปรากฎว่าศาลอุทธรณ์ศษลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นางวุ่นผู้ร้องกับโจทก์ตกลงแบ่งที่พิพาทกันคนละครึ่งเสร็จไปแล้ว ส่วนเงินค่าประมูลกรีดยางนั้น โจทก์ได้รับไปแล้วครึ่งหนึ่งเป็นเงิน ๖,๐๐๐ บาท เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๐๔
ที่พิพาทที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งนั้นเจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาดในวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๐๔
ครั้นวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๐๔ นายสุทธิ นายเนตร ยื่นคำร้องอ้างว่าเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของนายเก่งหั้วจำเลย ขอเข้าเฉลี่ยในเงินที่ขายทอดตลาดสวนยางและเงินค่ากรีดยางดังกล่าว
โจทก์แถลงว่าการขอเฉลี่ยเฉพาะทรัพย์ที่ขายไม่ค้าน แต่คัดค้านว่าค่าประมูลกรีดยางนี้เกิดขึ้นจากการกระทำของโจทก์โดยเฉพาะ ผู้ร้องไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยเลย จึงไม่ควรจะได้รับผลจากการกระทำของโจทก์ ผู้ร้องและโจทก์ตกลงกันไม่ได้ขอให้ศาลสั่ง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ดอกผลที่เกิดจากทรัพย์ย่อมตกได้แก่เจ้าของทรัพย์ คือลูกหนี้ไม่ว่าจะเกิดโดยการกระทำของผู้ใด เมื่อดอกผลเป็นทรัพย์ของลูกหนี้แล้ว ผู้ร้องขอเฉลี่ยทุกคนย่อมมีสิทธิได้ทั่วกันตามส่วน จึงมีคำสั่งให้เอาดอกผลนี้ออกเฉลี่ยแก่ผู้ขอเฉลี่ยทุกราย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เงินค่ากรีดยางนี้ไม่ใช่ดอกผลนิตินัยและไม่ใช่ดอกผลธรรมดาของสวนยางหรือต้นยาง ยางหรือน้ำยางต่างหากที่เป็นดอกผลของต้นยาง แต่น้ำยางได้กลายสภาพเป็นเงินไปแล้ว คือค่ากรีดยาง ๖,๐๐๐ บาทที่ตกเป็นของจำเลย และนางวุ่นผู้ร้องได้นำเงินจำนวนนี้ชำระให้โจทก์ไปแล้วตั้งแต่วันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๐๔ โดยจำเลยไม่ได้โต้แย้ง ต้องถือว่าจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ชำระหนี้ให้โจทก์ส่วนหนึ่งแล้ว ๖,๐๐๐ บาท เงินนี้จึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ไปแล้ว คดีไม่มีการยึดหรืออายัดเงินจำนวนนี้อย่างไรเลย เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นจึงไม่มีสิทธิขอเฉลี่ยในเงินค่ากรีดยางรายนี้ พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ยกคำร้องขอเฉลี่ยของผู้ร้องเฉพาะในเงินค่ากรีดยางรายนี้
นายสุทธิ นายเนตร ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การยึดที่ดินสวนยางรายนี้ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ย่อมครอบไปถึงดอกผลนิตินัยตามมาตรา ๓๑๔ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ดอกผลทั้งหลายของทรัพย์นั้นตามมาตรา ๑๑๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีความหมายถึงดอกผลธรรมดาและดอกผลนิตินัย เงินค่ากรีดยางที่พิพาทกันนี้เป็นดอกผลนิตินัยของที่ดินสวนยางครึ่งหนึ่งที่เป็นส่วนของจำเลย โดยเป็นลาภที่ได้เป็นครั้งเป็นคราวแก่เจ้าทรัพย์จากผู้อื่นเพื่อที่ได้ใช้ทรัพย์นั้น ย่อมตกได้แก่เจ้าของทรัพย์ คือ จำเลยผู้เป็นลูกหนี้ ในกรณีะรรมดา ผู้ร้องขอเข้าเฉลี่ยทุกคนซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมมีสิทธิได้รัรบชำระหนี้ทั่วกันตามส่วน แต่โดยที่มาตรา ๒๙๐ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งบัญญัติให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษายื่นคำร้องขอเฉลี่ยก่อนสิ้นระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ ฯลฯ การยื่นคำร้อง่ขอเข้าเฉลี่ยในเงินค่ากรีดยางของนายสุทธิและนายเนตร ผู้ร้อง เป็นการยื่นภายหลังที่กฎหมายบัญญัติให้ยื่นโดยปรากฎว่าเงินค่ากรีดยางนี้นางวุ่นผู้ร้องได้นำมาวางศาลเป็นรายเดือน ๆ ละ ๖๐๐ บาท นับแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๐๒ เป็นต้นมา
และในที่สุดโจทก์ได้รับเงินค่ากรีดยางที่เป็นดอกผลของที่ดินสวนยางส่วนของจำเลยผู้เป็นลูกหนี้ไปเสร็จแล้ว เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๐๔ นายสุทธิและนายเนตร ผู้ร้องเพิ่งมายื่นคำร้องขอเข้าเฉลี่ยเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๐๔ ฉะนั้น นายสุทธิและนายเนตรผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิเข้าเฉลี่ยในเงินค่ากรีดยางรายนี้ตามกฎหมาย ศาลฎีกาพิพากษายืน