โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2523 จำเลยได้กู้เงินไปจากโจทก์ เป็นเงิน 32,000 บาท โดยได้รับเงินจากโจทก์ไปถูกต้องในวันทำสัญญาแล้ว และตกลงให้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ร้อยละ 15 ต่อปีจากนั้นจำเลยมิได้ชำระดอกเบี้ยและเงินต้นให้โจทก์เลย โจทก์ทวงถามจำเลยก็เพิกเฉย คงค้างชำระดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 29,515 บาทขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระเงินต้นและดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน 61,515 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 32,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยกู้เงินและรับเงินจากโจทก์ตามฟ้อง สัญญากู้ท้ายฟ้องเป็นเอกสารปลอมโดยโจทก์กรอกข้อความอันเป็นเท็จและปราศจากการรู้เห็นหรือยินยอมของจำเลย สัญญากู้ดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยได้กู้เงินจากโจทก์เพียง 20,000 บาทพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 20,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันกู้เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินต้น32,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 27สิงหาคม 2523 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 600 บาทนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2523 จำเลยกู้เงินไปจากโจทก์จำนวน 32,000 บาท กำหนดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี โดยมิได้กำหนดระยะเวลาการใช้เงินคืนตามสัญญากู้เอกสารหมาย จ.2ตั้งแต่กู้เงินไปจำเลยไม่เคยชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้โจทก์เลยโจทก์ทวงถามจำเลยก็เพิกเฉย
จำเลยนำสืบว่า ในราวปี พ.ศ. 2523 จำเลยกู้เงินจากโจทก์จำนวน20,000 บาท กำหนดดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อเดือน และกำหนดชำระคืนภายใน 1 ปี มีการทำสัญญากันไว้เป็นหลักฐาน ในสัญญาลงจำนวนเงินกู้ไว้เป็นจำนวน 32ฐ000 บาท เพราะคิดดอกเบี้ยตามอัตาาและระยะเวลาดังกล่าวรวมไปด้วย จำเลยได้มอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)ตามภาพถ่ายเอกสารหมาย ล.1 ให้โจทก์ได้ประกันหนี้เงินกู้ จำเลยได้ชำระหนี้ดังกล่าวแล้ว โจทก์ได้คืนหลักฐานให้จำเลยโดยใส่ในถุงกระดาษให้ เมื่อเปิดดูพบเพียง น.ส.3 จำเลยสอบถามโจทก์ถึงสัญญากู้ โจทก์แจ้งว่ารวมอยู่ในเล่มที่บ้านอีกหลังหนึ่งพบแล้วจะฉีกทำลายให้
พิเคราะห์แล้ว โจทก์เบิกความยืนยันว่า จำเลยได้กู้เงินจากโจทก์ไปจำนวน 32,000 บาท ตามเอกสารหมาย จ.2 จำเลยก็เบิกความยอมรับว่าได้ทำสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.2 จริง จำนวน 32,000 บาทสัญญากู้ตามฟ้องจึงไม่เป็นเอกสารที่โจทก์กรอกข้อความเองโดยจำเลยมิได้ยินยอม มิใช่เอกสารปลอม ส่วนที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยกู้เงินโจทก์เพียง 20,000 บาท และชำระหนี้ให้โจทก์แล้วเป็นการนำสืบในข้อเท็จจริงที่จำเลยมิได้ให้การไว้และมิใช่เป็นการนำพยานหลักฐานมาสืบเพื่อสนับสนุนคำให้การของจำเลยจึงเป็นพยานหลักฐานที่ไม่เกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในคดีจะต้องนำสืบ ต้องห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบดังกล่าวแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(1) ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.2 และผิดนัดไม่ชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยจริง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 600 บาท แทนโจทก์