โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้มีดฟันรื้อถอนทำลายรั้วและหลักเขตรวมทั้งต้นนุ่นและต้นมะม่วงอันเป็นทรัพย์และพืชผลของนายพร้อมซึ่งเป็นกสิกรขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, 359(4)
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 358 ให้จำคุก 2 เดือน ปรับ 400 บาท ให้รอโทษจำคุกไว้ภายในกำหนด 1 ปี ส่วนฟ้องและคำขออื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ต้นนุ่นและต้นมะม่วงหิมพานต์ที่จำเลยถอนเป็นพืชอยู่ในกิจการของกสิกร พิพากษาแก้เฉพาะการปรับบทว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 และมาตรา 359(4)ให้ลงโทษตามมาตรา 359(4) อันเป็นบทหนัก
จำเลยฎีกา
คดีมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาว่า ต้นนุ่นและต้นมะม่วงหิมพานต์ต้นเล็ก ๆ รวม 7 ต้นที่จำเลยถอนไปนั้นเป็นพืชผลของกสิกรหรือไม่ข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังต้องกันมีว่านาของผู้เสียหายและนาของจำเลยมีคันนากั้นเป็นเขตติดต่อกัน ต้นไม้ดังกล่าวผู้เสียหายซึ่งเป็นกสิกรได้ปลูกไว้บนคันนา ศาลฎีกาได้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ว่าตามความในมาตรา 359(4) แห่งประมวลกฎหมายอาญา คำว่า พืชหรือพืชผล หมายถึงพืชหรือพืชผลที่ปลูกในการกสิกรรมของกสิกร คดีนี้ ปรากฏว่าผู้เสียหายเป็นกสิกรด้วยการทำนา ส่วนต้นไม้ในคดีนี้เป็นแต่ปลูกไว้เฉย ๆ ตามแนวเขต จะฟังว่าเป็นพืชหรือพืชผลในการกสิกรรมของผู้เสียหายตามความหมายแพ่งมาตรา 359(4) ยังไม่ได้
พิพากษาแก้ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น