โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยกับบุคคลอื่นหลายคนได้เข้าหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน เพื่อปลูกสร้างโรงมหรศพในที่ดินของจำเลย เพื่อหามหรศพมาแสดงหรือให้เช่า จำเลยเป็นผู้จัดการและรักษาเงินเพื่อจัดการก่อสร้างดำเนินงาน ในการปลูกสร้างจำเลยเป็นหนี้ค่าก่อสร้างแก่ ห. และถูกฟ้อง ห. จัดการบังคับคดี โจทก์ได้เข้าใช้หนี้แทนเป็นเงิน ๒,๖๐๐ บาท โดยความรู้เห็นยินยอมของจำเลย โจทก์จึงเข้ารับช่วงสิทธิเป็นเจ้าหนี้จำเลยในเงินจำนวนนี้ ต่อมาหุ้นส่วนถอนหุ้นหมดโรงมหรศพจึงตกเป็นของจำเลยผู้เดียว จำเลยรับรองจะผ่อนชำระ ๒,๖๐๐ บาทให้โจทก์ทุกวัน โจทก์เก็บเงินจากค่าฝ่ายประตูหรือค่าเช่า จำเลยต่อสู่ว่าไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ที่ว่าชำระเงินไป ๒,๖๐๐ บาทไม่ปรากกวันเดือนปี ไม่แสดงหลักฐานเป็นหนังสือและอื่น ๆ
ศาลแพ่งฟังข้อเท็จจริงตามฟ้อง เห็นว่าการที่โจทก์ชำระหนี้แทนจำเลยไปดังกบ่าว โจทก์ได้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา ๒๒๖ และ ๒๒๙(๓) ไม่จำต้องมีหลักฐานตามมาตรา ๖๕๓ ฟ้องไม่เคลือบคลุม พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ ๒๖๐๐ บาทกับดอกเบี้ย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นค่า คำฟ้องใดจะต้องมีข้อบรรยายอย่งใด ต้องมีวันเดือนปีหรือไม่ ทางแพ่งเหมือนกันทางอาญา และไม่ได้บังคับให้ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับวันเวลาเหมือน ป.ม.วิ.อาญามาตรา ๑๕๘(๕) ต้องแล้วแต่ลักษณะคำพ้องและประเด็นที่ตั้งมาเป็นประมาณ คดีนี้โจทก์ ไม่จำเป็นต้องบรรยายว่าดจทก์ได้ชำระเงินไปกี่ครั้ง ครั้งไหนเท่าใด เมื่อวันเดือนปีใด เพราะจำเลยไม่ได้ชำระหนี้ เป็นแต่การสู้ว่าเงินที่โจทก์ชำระเป็นเงินของจำเลยเอง ที่ว่าฟ้องเคลือบคลุมเพราะไม่แสดงหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ไม่ใช่เรื่องที่กฎหมายให้แนบหรือแสดง เอกสารเห็นพ้องด้วยศาลล่างว่าโจทก์ไม่เคลือบคลุม ส่วนข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้รับชำระให้ ห. ที่ประชุมตกลงให้เก็บรายได้ผ่อนให้ใช้โจทก์ ๆ ได้ใช้หนี้นั้นแล้ว จึงมีหน้าที่ต้องใช้เงินที่โจทก์ชำระแก่ ห. คืนแก่โจกท์ กรณีเช่นนี้ไม่ใช่กู้ยืมไม่ต้องด้วย ป.ม.แพ่งฯ มาตรา ๖๕๓
พิพากษายืน