โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๓๓๕, ๓๓๖ ทวิ กับให้จำเลยคืนหรือ ใช้ราคาน้ำมันพืชขนาดบรรจุถุงละ ๑๕ กิโลกรัม จำนวน ๖๖ ถุง เป็นเงินจำนวน ๑๙,๘๐๐ บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๙ พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๓๓๕ (๑) (๓) (๘) วรรคสอง, ๓๓๖ ทวิ ลงโทษจำคุก ๓ ปี คำรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนตลอดจนทางนำสืบของจำเลย เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ เห็นสมควรลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก ๒ ปี ให้จำเลยคืนหรือ ใช้ราคาทรัพย์เป็นเงินจำนวน ๑๙,๘๐๐ บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า...พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยร่วมกับพวกกระทำความผิดตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๙ พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้นแต่ตามฟ้องโจทก์ระบุว่า จำเลยเกิดวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๒๓ นับถึงวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๔๐ ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ จำเลยอายุเพียง ๑๖ ปีเศษ ยังไม่เกิน ๑๗ ปี ศาลต้องลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๕ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๙ ไม่ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาในปัญหานี้ แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๕ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๒๒๕ ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้ อีกทั้งเมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยกระทำความผิดมาก่อน และจำเลยกระทำความผิดขณะที่มีอายุน้อย การลงโทษจำคุกจำเลยไปทีเดียวไม่น่าจะเป็นผลดีในการแก้ไขฟื้นฟูให้จำเลยกลับตนเป็นพลเมืองดี เห็นสมควรให้โอกาสจำเลยสักครั้งเพื่อให้จำเลยได้แก้ไข ฟื้นฟูตนเองในสังคมภายนอก การรอการลงโทษและคุมความประพฤติจำเลยน่าจะเป็นมาตรการที่เหมาะสมกว่า แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาขอให้รอการลงโทษ แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าศาลอุทธรณ์ภาค ๙ ลงโทษจำเลยไม่เหมาะสมก็ย่อมมีอำนาจ ลงโทษจำเลยให้เหมาะสมแก่ความผิดได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๘๕ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๒๑๕ และ ๒๒๕ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๙ ไม่รอการลงโทษให้จำเลยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย แต่เพื่อให้จำเลย หลาบจำเห็นสมควรลงโทษปรับจำเลยอีกสถานหนึ่งด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๕ จำคุก ๑ ปี ๖ เดือน และปรับ ๖,๐๐๐ บาท คำรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนตลอดจนทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๑ ปี และปรับ ๔,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๒ ปี นับแต่วันที่อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟัง โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก ๓ เดือนต่อครั้ง ตามเงื่อนไขและระยะเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรกำหนด ภายในเวลาที่รอการลงโทษ และให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือ สาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรเป็นเวลา ๓๐ ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ กรณีไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๙