โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,050,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 232,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 7 เมษายน 2560) ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี กำหนดค่าทนายความ 4,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในชั้นนี้ว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมในคดีหมายเลขแดงที่ 5995/2551 ของศาลจังหวัดพระโขนง ซึ่งพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 1,100,000 บาท โดยวิธีผ่อนชำระ จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม และได้ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างกับห้องชุดในอาคารชุดให้นางสาวศิริรัตน์เพื่อไม่ให้โจทก์บังคับชำระหนี้เอาแก่ทรัพย์สินดังกล่าว โจทก์จึงฟ้องจำเลยและนางสาวศิริรัตน์ในความผิดฐานร่วมกันโกงเจ้าหนี้ต่อศาลจังหวัดพระโขนง ศาลพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ให้จำคุก 1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์ยังฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนทรัพย์สินระหว่างจำเลยกับนางสาวศิริรัตน์ต่อศาลชั้นต้นซึ่งพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนทรัพย์สินดังกล่าว ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยและนางสาวศิริรัตน์ ศาลฎีกาพิพากษายืน โจทก์ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินออกใบแทนโฉนดที่ดินและจดทะเบียนโอนทรัพย์สินดังกล่าวกลับมาเป็นของจำเลย แล้วนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินดังกล่าวออกขายทอดตลาด และได้เงินจากการขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมครบถ้วนแล้ว
มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ในมูลละเมิดอันเกิดจากการที่จำเลยทำนิติกรรมโอนทรัพย์สินให้นางสาวศิริรัตน์หรือไม่ เพียงใด โดยโจทก์ฎีกาขอให้จำเลยรับผิดในค่าเสียหายเป็นค่าใช้จ่ายและค่าทนายความในการดำเนินคดีอาญา ซึ่งโจทก์ขอลดทุนทรัพย์ลงเหลือเพียง 50,000 บาท ค่าใช้จ่ายและค่าทนายความในการดำเนินคดีแพ่ง ซึ่งโจทก์ขอลดทุนทรัพย์ลงเหลือเพียง 100,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการขอออกใบแทนโฉนดที่ดินและจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรม 50,000 บาท และค่าเสียหายเป็นกำไรที่โจทก์ควรจะได้จากการนำเงินที่ได้จากการบังคับชำระหนี้ไปลงทุน ซึ่งโจทก์ขอลดทุนทรัพย์ลงเหลือเพียง 300,000 บาท สำหรับค่าใช้จ่ายและค่าทนายความในการดำเนินคดีอาญาซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นการเสียหายแก่ทรัพย์สินนั้น เห็นว่า แม้การที่จำเลยทำนิติกรรมโอนทรัพย์สินให้นางสาวศิริรัตน์โดยประสงค์จะไม่ให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมบังคับชำระหนี้เอาแก่ทรัพย์สินดังกล่าว เป็นการจงใจทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายให้โจทก์เสียหายแก่ทรัพย์สินก็ตาม แต่การที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาในความผิดฐานร่วมกันโกงเจ้าหนี้ คงเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายเพื่อให้ศาลลงโทษจำเลยในทางอาญาเท่านั้น เมื่อศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย ก็หามีผลให้โจทก์สามารถบังคับชำระหนี้เอาแก่ทรัพย์สินที่จำเลยขายไปได้ไม่ อย่างไรก็ดี กรณีมิใช่ว่าหากโจทก์ไม่ดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยแล้ว โจทก์จะบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินที่จำเลยขายไปไม่ได้เลย การดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยจึงเป็นเรื่องที่โจทก์จะดำเนินการหรือไม่ก็ได้ ดังนั้น โจทก์จะอ้างว่าการที่จำเลยทำนิติกรรมโอนทรัพย์สินให้นางสาวศิริรัตน์ทำให้โจทก์ต้องฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาอันเป็นการเสียหายแก่ทรัพย์สินหาได้ไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้
ส่วนค่าใช้จ่ายและค่าทนายความในการดำเนินคดีแพ่ง กับค่าใช้จ่ายในการขอออกใบแทนโฉนดที่ดินและจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการโอนทรัพย์สินระหว่างจำเลยกับนางสาวศิริรัตน์นั้น เห็นว่า การที่จำเลยทำละเมิดต่อโจทก์ย่อมเป็นเหตุให้โจทก์ต้องฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งขอให้เพิกถอนการฉ้อฉล อันเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายเพื่อให้ทรัพย์สินที่จำเลยขายไปกลับมาเป็นของจำเลย และโจทก์จะได้บังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินดังกล่าว การที่โจทก์จำต้องฟ้องคดีแพ่งจึงเป็นความเสียหายที่เป็นผลโดยตรงจากการทำละเมิดของจำเลย จำเลยจึงต้องใช้ค่าเสียหายเป็นค่าใช้จ่ายและค่าทนายความในการดำเนินคดีแพ่งแก่โจทก์
ส่วนการขอออกใบแทนโฉนดที่ดินและจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการโอนทรัพย์สินระหว่างจำเลยกับนางสาวศิริรัตน์ ก็เป็นเรื่องที่โจทก์ต้องดำเนินการหลังจากศาลมีคำพิพากษาในคดีแพ่งเพื่อให้ทรัพย์สินกลับมาเป็นของจำเลยทางทะเบียนก่อนที่โจทก์จะดำเนินการบังคับคดีต่อไป การที่โจทก์ต้องทำเช่นนั้นจึงเป็นความเสียหายที่เป็นผลต่อเนื่องโดยตรงจากการทำละเมิดของจำเลย จำเลยจึงต้องใช้ค่าเสียหายเป็นค่าใช้จ่ายในการขอออกใบแทนโฉนดที่ดินและจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการโอนทรัพย์สินดังกล่าวแก่โจทก์เช่นกัน แต่ที่โจทก์นำสืบว่า โจทก์เสียค่าใช้จ่ายและค่าทนายความในการดำเนินคดีแพ่งเป็นเงิน 150,000 บาท กับค่าใช้จ่ายในการขอออกใบแทนโฉนดที่ดินและจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรม การโอนทรัพย์สินเป็นเงิน 50,000 บาท นั้น เห็นว่า หนังสือยืนยันการรับเงินเป็นเพียงหลักฐานที่ทนายโจทก์ทำขึ้นเพื่อแสดงว่าได้รับเงินดังกล่าวไปจากโจทก์ โดยไม่ได้แยกแยะรายละเอียดค่าใช้จ่ายแต่ละรายการและค่าทนายความว่าเป็นอย่างไร ทั้งในชั้นฎีกาโจทก์ยังขอปรับลดค่าเสียหายในส่วนของค่าใช้จ่ายและค่าทนายความในการดำเนินคดีแพ่งลงจาก 150,000 บาท เป็น 100,000 บาท โดยไม่ระบุเหตุผล ส่อแสดงว่าโจทก์กำหนดจำนวนค่าเสียหายเอาตามอำเภอใจ ประกอบกับการขอออกใบแทนโฉนดที่ดินและจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการโอนทรัพย์สินเป็นการดำเนินการต่อหน่วยงานราชการ ซึ่งควรจะมีเอกสารเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการนั้น แต่โจทก์กลับไม่อ้างเป็นพยานหลักฐาน แม้ในชั้นฎีกาโจทก์ยังคงจำนวนค่าเสียหายในส่วนของค่าใช้จ่ายในการขอออกใบแทนโฉนดที่ดินและจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรม การโอนทรัพย์สินไว้ตามฟ้อง แต่ตามพฤติการณ์แห่งคดีที่ได้วินิจฉัยมาก็ยังไม่อาจรับฟังว่า โจทก์เสียค่าใช้จ่ายในการต่าง ๆ ดังกล่าวรวมทั้งค่าทนายความเป็นจำนวนตามที่ขอมาในฎีกา เมื่อพิจารณาคำพิพากษาในคดีแพ่งโดยคำนึงถึงความยากง่ายแห่งคดี ระยะเวลาที่ใช้ในการดำเนินคดีตั้งแต่เริ่มต้นจนคดีถึงที่สุด ซึ่งไม่ปรากฏว่าโจทก์หรือทนายโจทก์ดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นอุทธรณ์และฎีกาด้วยหรือไม่ ค่าทนายความที่ศาลกำหนดให้จำเลยใช้แทนโจทก์ รวมทั้งรายงานปิดประกาศเรื่องการขอออกใบแทนโฉนดที่ดินแล้ว สมควรกำหนดค่าเสียหายเป็นค่าใช้จ่ายและค่าทนายความในการดำเนินคดีแพ่ง 50,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการขอออกใบแทนโฉนดที่ดินและจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการโอนทรัพย์สิน 5,000 บาท
ส่วนค่าเสียหายเป็นกำไรที่โจทก์ควรจะได้จากการนำเงินที่ได้จากการบังคับชำระหนี้ไปลงทุนนั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยมีเจตนาเพียงต้องการไม่ให้โจทก์บังคับชำระหนี้เอาแก่ทรัพย์สินที่ได้โอนไป ค่าเสียหายเป็นกำไรที่โจทก์เรียกร้องจึงอยู่นอกเหนือเจตนาของจำเลย ถือเป็นค่าเสียหายที่ไกลกว่าเหตุ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ในส่วนนี้ รวมค่าเสียหายที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ 55,000 บาท ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษากลับว่า ให้จำเลยชำระเงิน 55,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 7 เมษายน 2560) ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี กำหนดค่าทนายความรวม 10,000 บาท