โจทก์ ฟ้อง กล่าวหา ว่า จำเลย ทั้ง สอง ร่วมกัน ขุด ถนน ที่ ใช้หรือ มี ไว้ เพื่อ สาธารณประโยชน์ ขอ ให้ ลงโทษ จำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 360, 83
จำเลย ทั้งสอง ให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้น พิพากษาว่า จำเลย ทั้งสองมี ความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 360, 83 จำคุก และ ปรับ จำเลย ทั้ง สอง โดยให้ รอ การ ลงโทษ จำคุก จำเลย ไว้ คนละ 2 ปี
จำเลย ทั้งสอง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ทั้ง สอง ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า คดีนี้ ศาลอุทธรณ์ พิพากษา ยืน ตาม ศาลชั้นต้น และ ให้ ลงโทษ จำคุก จำเลย ทั้ง สอง แต่ ละ คน ไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้าม มิให้ ฏีกา ใน ปัญหา ข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 จำเลย ทั้ง สอง ฎีกา ได้ แต่ เฉพาะ ข้อกฎหมาย ใน การวินิจฉัย ปัญหา ข้อกฎหมาย ศาลฎีกา ต้อง ฟัง ข้อเท็จจริง ตาม ศาลอุทธรณ์ได้ วินิจฉัย มา แล้ว จาก พยานหลักฐาน ใน สำนวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222 ซึ่ง ศาลอุทธรณ์ ฟังข้อเท็จจริง ว่า หลุม ทั้ง สอง หลุม ที่ โจทก์ ฟ้อง กล่าวหา ว่า จำเลยขุด ทำลาย อยู่ บน ไหล่ถนน ฝั่ง เดียวกัน และ อยู่ ใน เขต ถนน สาธารณะสาย วังเย็น - วังกะจะ จำเลย ทั้ง สอง ขุด หลุม ดังกล่าว เพื่อ ทำเป็น ทาง ระบายน้ำ จาก นา ที่ จำเลย ทำ ลง คลองสาธารณะ มิฉะนั้นเมื่อ ฝน ตกมาก น้ำ จะ ท่วม นา ทำ ให้ ข้าว ตาย คดี มี ปัญหา ตามที่ จำเลย ทั้ง สอง ฎีกา ข้อแรก ว่า ตาม ฟ้อง ระบุ ว่า หลุม ที่ จำเลยทั้ง สอง ขุด อยู่ ทั้ง สอง ข้าง ถนน แต่ ใน ทาง พิจารณา ข้อเท็จจริงกลับ ได้ ความ ว่า หลุม ดังกล่าว อยู่ บน ไหล่ถนน ฝั่ง เดียวกันเป็น เรื่อง ที่ โจทก์ ประสงค์ ให้ ลงโทษ และ ศาล พิพากษา ลงโทษ จำเลยได้ หรือไม่ พิเคราะห์ แล้ว เห็น ว่า คดีนี้ โจทก์ ฟ้อง และ ขอ ให้ลงโทษ จำเลย ทั้ง สอง ฐาน ร่วมกัน ขุดหลุม ทำ ให้ ถนน สาย วังเย็น- วังกะจะ ซึ่ง เป็น ถนน ที่ ใช้ หรือ มี ไว้ เพื่อ สาธารณประโยชน์เสียหาย จำเลย ทั้ง สอง ยอมรับ ว่า ขุด ถนน ตาม ที่ โจทก์ ฟ้องคง ต่อสู้ แต่ เพียง ว่า หลุม ดังกล่าว อยู่ ใน ที่ดิน ของ นาง เผือกไม่ ได้ อยู่ ใน เขต ถนน สาธารณะ ตาม ฟ้อง เป็น เรื่อง โจทก์ ประสงค์ให้ ลงโทษ จำเลย ทั้ง สอง เพราะ ขุด หลุม ทำ ให้ ถนน สาธารณะ เสียหายเมื่อ ข้อเท็จจริง ฟัง ได้ ว่า หลุม ที่ จำเลย ทั้ง สอง ขุด อยู่ ในเขต ถนน สาธารณะ ที่ โจทก์ ฟ้อง แล้ว ไม่ ว่า หลุม นั้น จะ อยู่ ที่ไหล่ถนน ฝั่ง เดียวกัน ตาม ที่ ปรากฏ ใน ทาง พิจารณา หรือ ทั้งสองข้าง ถนน ดัง ที่ กล่าว ใน ฟ้อง ก็ เป็น เรื่อง ที่ โจทก์ ประสงค์ให้ ลงโทษ ทั้งสิ้น และ ข้อ แตกต่าง ดังกล่าว ก็ หา ใช่ ข้อ สารสำคัญและ จำเลย ทั้ง สอง หลง ต่อสู้ ดัง ที่ จำเลย ทั้ง สอง ฎีกา ไม่เพราะ จำเลย ยอมรับ ว่า ขุด หลุม ตาม ที่ โจทก์ ฟ้อง แต่ ต่อสู้ ว่าไม่ เป็น ความผิด เพราะ ไม่ ใช่ ถนน สาธารณะ เท่านั้น ฎีกา จำเลยทั้ง สอง ข้อ นี้ ฟัง ไม่ ขึ้น
ปัญหา ข้อ สุดท้าย ตาม ที่ จำเลย ทั้ง สอง ฎีกา มี ว่า การ กระทำของ จำเลย ทั้ง สอง เป็น ความ จำเป็น อัน ไม่ ต้อง รับโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 67 หรือไม่ พิเคราะห์ แล้ว เห็น ว่า การ กระทำเพราะ ความ จำเป็น ตาม บทบัญญัติ ของ กฎหมาย ดังกล่าว ผู้ กระทำ จะต้อง อยู่ ใน ที่ บังคับ หรือ ภายใต้ อำนาจ ซึ่ง ไม่ สามารถ หลีก เลี่ยงหรือ ขัดขืน ได้ หรือ เพื่อ ให้ ผู้ กระทำ หรือ ผู้ อื่น พ้น จากภยันตราย ที่ ใกล้ จะ ถึง และ ไม่ สามารถ หลีกเลี่ยง ให้ พ้น โดย วิธีอื่น ใด ได้ แต่ การ ขุด หลุม ของ จำเลย ทั้ง สอง เป็น ทาง ระบายน้ำจาก นา ที่ จำเลย ทำ ลง คลอง สาธารณะ เพื่อ ไม่ ให้ น้ำท่วม ต้นข้าวเมื่อ ฝน จะ ตก มาก เท่านั้น ขณะ จำเลย กระทำ การ ดังกล่าว ฝน ยังไม่ ตก น้ำ ยัง ไม่ ท่วม ต้นข้าว ของ จำเลย จึง ไม่ มี ภยันตราย ที่ใกล้ จะ ถึง อัน จำเลย จำเป็น ต้อง กระทำ ทั้ง เมื่อ ฝน ตกมาก และน้ำท่วม ต้นข้าว ของ จำเลย จำเลย ก็ สามารถ ใช้ เครื่อง สูบน้ำสูบน้ำ ออก จาก นา ได้ การ กระทำ ของ จำเลย หา ใช่ ความ จำเป็น ตามกฎหมาย ไม่ ฎีกา จำเลย ทั้ง สอง ข้อ นี้ ฟัง ไม่ ขึ้น อีก
ศาลล่าง ทั้ง สอง พิพากษา ลงโทษ จำเลย ทั้ง สอง มา ชอบ แล้ว ฎีกาจำเลย ทั้ง สอง ฟัง ไม่ ขึ้น
พิพากษายืน.