โจทก์อยู่ที่หาดใหญ่ จังหวัดสงชลา ต้องการจะเรียนหนังสือต่อที่กรุงเทพฯ จำเลยได้หลอกลวงโจทก์ว่าจะพาโจทก์ไปเรียนที่กรุงเทพฯ ให้โจทก์เตรียมหาเงินไว้ และจำเลยได้บอกให้โจทก์ขโมยเงินบิดา โจทก์ปฏิบัติตาม และเมื่อโจทก์ลักเงินบิดามาได้ ๑๑,๕๐๐ บาท แล้วก็มอบเงินแก่จำเลย ๑๐,๐๐๐ บาท แล้วก็มอบเงินแก่จำเลย ๑๐,๐๐๐ บาท โดยหลงเชื่อว่าจำเลยจะพาไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ซึ่งความจริงจำเลยไม่ได้ตั้งใจจะพาโจทก์ไป และจำเลยได้เอาเงินนั้นเสีย
ตามพฤติการณ์ดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๒
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า กรณีไม่ใช่หลอกลวงให้โจทก์ส่งเงิน แต่เป็นกรณีที่จำเลยใช้ให้โจทก์ไปทำผิดลักเงินของบิดาโจทก์เอามาให้จำเลย โดยหลอกว่าจะพาไปเรียนหนังสือ จำเลยจะต้องมีโทษเสมือนตัวการ โจทก์เป็นผู้กระทำผิดกฏหมายจึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย และเงินที่ให้แก่จำเลยก็ไม่ใช่เงินของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย เฉพาะในความผิดฐานลักทรัพย์ แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องเรื่องฉ้อโกงซึ่งเป็นการกระทำผิดของจำเลยอีกสถานหนึ่ง เมื่อโจทก์ได้ลักเงินมาจากบิดาแล้ว โจทก์มีสิทธิครอบครองเงินนั้นอยู่ จำเลยหลอกลวงเอาเงินนั้นไปจากโจทก์ๆ จึงเป็นผู้เสียหาย มีอำนาจฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑ (๔), ๒๘ พิพากษากลับศาลอุทธรณ์ ให้ลงโทษจำเลย