คดีนี้ได้ความว่า ท้องที่อำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท มีผู้ร้ายชุกชุม ทางการสั่งให้ทางอำเภอจัดกำหนันผู้ใหญ่บ้านออกตรวจตราโจรผู้ร้าย ได้มีผู้มาแจ้งต่อจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านว่า มีผู้ร้ายชั้นเสือมาพักอยู่ในเขตต์อำเภอหันคา จำเลยที่ ๑ จึงเกณฑ์ราษฎรคือ จำเลยที่ ๒ - ๔ และคนอื่นอีก ๒ คน ไปทำการจับกุม ระหว่างทางพบชายคนหนึ่งภายหลังทราบว่าชื่อเพี้ยนหรือประคองเดินสวนมา ได้เกิดจับกุมตัวนายเพี้ยน ๆ ขัดขวางชักปืนออกจะยิง แต่บุคคลเหล่านั้นได้ช่วยกันจับได้และมัดไว้ นำตัวจะไปส่งกำนัน ระหว่างทางมีผู้มาชี้ตัวว่านายเพี้ยนเป็นผู้ร้ายปล้นทรัพย์ จำเลยที่ ๑ หยุดปัสสาวะ นายเพี้ยนวิ่งหนี จำเลยที่ ๑ ร้องว่าทำไมไม่ยิง จำเลยที่ ๒ จึงยิงไป ๑ นัด ถูกนายเพี้ยนตาย โจทก์จึงฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา จำเลยที่ ๑ ให้การว่าทางการสั่งให้ปราบปรามโจรผู้ร้าย ผู้ตายเป็นผู้ร้ายสำคัญเรื่องปล้นทรัพย์ ระหว่างถูกจับตัวมาวิ่งหนีจึงเกิดยิงกันตาย จำเลยที่ ๒ ปฏิเสธ จำเลยที่ ๓ - ๔ ว่า จำเลยที่ ๑ สั่งไปช่วยจับไม่ได้สมคบกันฆ่า ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยที่ ๑ - ๒ ทำการ ตามหน้าที่เพื่อมิให้ผู้ตายหลบหนี แต่กระทำเกินกว่าเหตุ จึงลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๖๓, ๖๔, ๒๔๙, ๕๒, ๕๓ จำคุกคนละ ๑ ปี แต่ให้รอการลงอาญาไว้ ยกฟ้องจำเลยที่ ๓ - ๔ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่า คดีไม่เข้าตามก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๕๒, ๕๓ ไม่ควรลดอาญาแก่จำเลยที่ ๑ - ๒
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ ๑ - ๒ ได้ปฏิบัติการตามหน้าที่โดยจับกุมผู้ตายซึ่งเป็นผู้ร้ายสำคัญเรื่องปล้นทรัพย์ ผู้ตายวิ่งหนี จำเลยที่ ๑ เกรงความผิดจึงสั่งให้จำเลยที่ ๒ ยิง ประกอบกับมี ป.วิ.อาญามาตรา ๘๓ (๒) ว่า ถ้าบุคคลซึ่งจะถูกจับหลบหนี หรือพยายามจะหลบหนี ผู้ทำการจับมีอำนาจใช้วิธีหรือความป้องกันทั้งหลายเท่าที่เหมาะแก่พฤตติการณ์แห่งเรื่องในการจับผู้นั้น จึงถือได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายดั่งกล่าวแล้ว แต่หากกระทำเกินไปกว่าสมควรแก่เหตุหรือเกินไปกว่าที่กฎหมายอนุญาตให้กระทำได้ ต้องตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๕๓ พิพากษายืน