คดีทั้งสองสำนวนศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองสำนวนและแก้ไขคำฟ้องสำนวนแรก ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗, ๓๐๙ วรรคสอง, ๙๑, ๓๓ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๗, ๘, ๕๗, ๙๑, ๙๓, ๑๐๒ ริบอาวุธปืนและซองกระสุนของกลางและนับโทษจำเลยใน คดีทั้งสองสำนวนนี้ต่อกัน
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๗, ๙๑ จำคุก ๑ ปี ปรับ ๑๐,๐๐๐ บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ หนึ่งในสี่ คงจำคุก ๙ เดือน ปรับ ๗,๕๐๐ บาท จำเลยไม่เคยมีประวัติ การกระทำผิดมาก่อน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๒ ปี โดยคุมความประพฤติจำเลยมีกำหนด ๑ ปี และให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติรวม ๔ ครั้ง จนกว่าจะครบกำหนดการคุมความประพฤติ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษทุกชนิด ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗, ๓๐๙ วรรคสอง พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙๓ วรรคท้าย ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จำคุก ๑ ปี ฐานใช้กำลังประทุษร้ายข่มขืนใจให้หญิงเสพยาเสพติดให้โทษในประเภท ๑ เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙๓ วรรคท้าย อันเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ให้ประหารชีวิต ลดโทษหนึ่งในสามทุกกระทงความผิด ฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จำคุก ๘ เดือน ฐานใช้กำลังประทุษร้ายข่มขืนใจให้หญิงเสพยาเสพติดให้โทษในประเภท ๑ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๒ (๑) จำคุกตลอดชีวิต ส่วนความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก ๘ เดือน ไม่รอการลงโทษ ไม่คุมความประพฤติจำเลย และไม่ลงโทษปรับ เมื่อลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิตแล้วจึงไม่อานจำโทษจำคุกกระทงอื่นมารวมลงโทษได้ คงจำคุกจำเลยตลอดชีวิต ริบอาวุธปืนและซองกระสุนปืนของกลาง คำขอให้นับโทษต่อให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้อแรกของจำเลยว่าจำเลยกระทำความผิดฐานเป็น เจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ยุติว่า จำเลย นายสุรเดช นายอุทัย และ นายน้อย ได้ร่วมเล่นการพนันไพ่รัมมี่พนันเอาทรัพย์สินที่บ้านนายน้อย เห็นว่า แม้จำเลยจะเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีอำนาจหน้าที่ในการจับกุมผู้กระทำผิด แต่จำเลยกลับเป็นผู้ร่วมกระทำผิดด้วยการร่วมเล่นการพนันไพ่รัมมี่ แล้วจำเลยไม่จับกุมผู้เล่น ไพ่รัมมี่นั้น ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยมีเจตนาพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เล่นการพนันหรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงไม่มีความผิดฐานเป็น เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ดังที่โจทก์ฟ้อง ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้อสองของจำเลยว่า จำเลยได้ใช้กำลังประทุษร้ายและใช้อาวุธปืนข่มขืนใจให้นางบาหยัน ทองเถา และนางพรธิพร ทานะศิลป์ ผู้เสียหายทั้งสองเสพเมทแอมเฟตามีนหรือไม่
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยได้ใช้กำลังประทุษร้ายและใช้อาวุธปืนข่มขืนใจให้ผู้เสียหายทั้งสองเสพ เมทแอมเฟตามีนโดยวิธีสูดรับเอาควันเข้าสู่ร่างกาย การกระทำดังกล่าวของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๙ วรรคสอง และพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙๓ วรรคท้าย อันเป็นการกระทำ กรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องทั้งสองฐานดังกล่าวนี้ โจทก์คงอุทธรณ์ขอให้ ลงโทษจำเลยเฉพาะความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๙ วรรคสอง เท่านั้น มิได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษฐานข่มขืนใจให้หญิงเสพยาเสพติดให้โทษ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙๓ วรรคท้าย ด้วย ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙๓ วรรคท้าย อันเป็นบทหนักตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ เป็นการพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษมาด้วย จึงเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๒ ศาลฎีกาพิพากษาคง ลงโทษจำเลยได้เพียงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๙ วรรคสอง ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
ในสำนวนแรก ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก ๘ เดือน ในสำนวนที่สองศาลฎีกาลงโทษจำเลยในความผิดฐานใช้กำลังประทุษร้ายข่มขืนใจผู้อื่นโดยใช้อาวุธปืน ซึ่งเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน และศาลต้องลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า เมื่อศาลชั้นต้นรวมการพิจารณาคดีทั้งสองเข้าด้วยกันแล้วไม่อาจนับโทษต่อกันได้ เพราะได้รวมการพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน ซึ่งไม่ถูกต้อง แต่โจทก์ไม่ฎีกาในปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาจึงไม่อาจพิพากษาให้นับโทษต่อกันตามที่ถูกต้องได้
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๐๙ วรรคสอง ให้จำคุก ๕ ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก ๓ ปี ๔ เดือน ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ และ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙๓ วรรคท้าย นอกจากที่แก้ให้บังคับตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์