โจทฟ้องว่า นางเผือกู้เงินของโจทไปและได้เอาที่นาพิพาทไห้โจททำต่างดอกเบี้ย สัญญากันว่าจะไถ่พายไน ๕ ปี ถ้าไม่ไล่ไห้ที่เปนกัมสิทธิโจท ๆ ได้ยึดถือเปนกัมสิทธิมาถึง ๑๔ ปีและได้จดทเบียนเปนเจ้าของมาหลายปีแล้วต่อมาจำเลยที่ ๑ เอาที่ดินนี้ไปขายไห้แก่จำเลยที่ ๒ เสีย ขอไห้สาลทำลายสัญญาซื้อขายและสแดงว่าที่นารายนี้เปนของโจท
ไนวันชี้สองสถาน คู่ความรับกันว่าเมื่อ พ.ส.๒๔๗๒ นางเผือได้ทำสัญญากู้เงินโจทไป และนางเผือได้ยืมที่รายนี้จากนางคลิ้งภรรยาจำเลยที่ ๑ ไปไห้โจททำกินต่างดอกเบี้ยไบสัญญากู้มีข้อความว่าจะนำเงินมาไถ่คืนพายไน ๕ ปี ถ้าไม่ไถ่ก็ไห้หาเปนกัมสิทธิแก่โจท โจททำนารายนี้เรื่อยมาจนกะทั่งจำเลยที่ ๑ และ ๒ ไปทำสัญญาซื้อขายกันต่ออำเพอ เมื่อวันที่ ๒๗ พรึสภาคม ๒๔๘๖ นางเผือตายมาได้ ๑๐ ปีแล้ว
สาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยาน แล้วพิพากสาว่าโจทครอบครองที่รายนี้โดยอาสัยสิทธิสัญญากู้ หาได้ครอบครองโดยอำนาดปรปักร์ไม่ ข้อสัญญาที่ว่าถ้าไม่ไถ่คืนพายไน ๕ ปีไห้ที่ดินเปนกัมสิทธิแก่โจทก็ไช้ไม่ได้ เพราะไม่ได้ทำไห้ถูกต้องตามวิธีการไนเรื่องสัญญาเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ไห้ยกฟ้องโจท
โจทอุธรณ์ สาลอุธรน์พิพากสาไห้สาลชั้นต้นทำการพิจารนาแล้วพิพากสาไหม่
จำเลยดีกา สาลดีกาเห็นว่า เมื่อครบ ๕ ปีแล้วต้องถือว่าโจทครอบครองเพื่อตน และอาดยกเอาความข้อนี้ยันจำเลยก็ได้ และเมื่อนางเผือตายมา ๑๐ ปีแล้วจำเลยอาดไปพูดเอาที่ดินคืนก่อนสัญญาครบกำหนด ๕ ปีก็ได้ หากเปนเช่นนั้นจิงโจทก็จะอ้างความครอบครองนั้นยันจำเลยไม่ได้ จึงพิพากสายืนตามสาลอุธรน์.