ได้ความว่าจำเลยสมคบกันใช้อุบายหลอกลวงประกอบด้วยเอาความเท็จมากล่าวแก่ผู้เสียหายว่า ให้เอาเงินให้จำเลย ๆ จะนำไปให้ผู้บังคับกองพันและหมอทหาร เพื่อผู้เสียหายจะได้ไม่ถูกคัดเลือกเป็นทหาร ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงมอบเงินให้จำเลย ๒ คราวรวมเงิน ๗๐ บาท จำเลยทุจริตเอาเงินนั้นเป็นประโยชน์ตนเสีย โจทย์จึงฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา ๓๐๔, ๖๓ กฎหมายลักษณอาญา และคืนทรัพย์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาลงโทษจำเลยตามที่โจทก์ขอ ส่วนข้อให้คืนทรัพย์นั้นเห็นว่าผู้เสียหายยินยอมให้เงินไปเพื่อกระทำผิดกฎหมาย นิติกรรมนั้นจึงเป็นโมฆะ ผู้เสียหายไม่มีสิทธิเรียกร้องคืน อัยการโจทก์จึงขอให้บังคับไม่ได้
โจทก์อุทธรณ์ขอให้คืนทรัพย์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าผู้เสียหายมอบเงิน ๔๐ บาทให้จำเลยไปเพื่อเป็นสินบนแก่เจ้าพนักงานนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่ง มาตรา ๔๑๑ แม้ผู้เสียหาย เองก็หาอาจเรียกร้องเอาคืนได้ไม่ อัยการโจทก์จึงไม่มึอำนาจขอให้ศาลบังคับจำเลยคืนเงินตามมาตรา ๔๓ ประมวลวิธีพิจารณาอาญา ส่วนเงินอีก ๓๐ บาทนั้นไม่ปรากฏว่าให้ไปเพื่อประโยชน์อันใดแน่ จึงพิพากษาแก้ให้จำเลยคืนเงิน ๓๐ บาทแก่เจ้าทรัพย์ แต่มีผู้พิพากษานายหนึ่งเห็นแย้งว่าควรพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้มีปัญหาเฉพาะเงิน ๔๐ บาทว่าจะคืนแก่เจ้าทรัพย์หรือไม่ ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าเงินจำนวนนี้ได้จ่ายมอบไปเพื่อประโยชน์อันเป็นความผิดกฎหมาย โจทก์จึงฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้คงมีประเด็นแต่ว่าการกระทำเช่นนี้เรียกได้หรือไม่ว่าเป็น "กระทำการเพื่อชำระหนี้" ตามประมวลวกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๔๑๑ ศาลฎีกาพร้อมกันประชุมปรึกษาเห็นว่า เป็นการกระทำเพื่อชำระหนี้ตามมาตรา ๔๑๑ จึงเรียกคืนไม่ได้ พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์