โจทก์ฟ้องใจความว่า  เมื่อวันที่  ๑๗  เมษายน  ๒๕๑๙  เวลากลางวัน  จำเลยทั้งสองกับพวกอีกหลายคนซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง  บังอาจร่วมกันกระทำผิดต่อกฎหมายหลายบทหลายกระทงต่างกรรมต่างวาระกัน  กล่าวคือ  จำเลยทั้งสองกับพวกดังกล่าวบังอาจร่วมกันมีเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์  ซึ่งเป็นเกลือของเฮโรอีน  อันเป็นยาเสพติดให้โทษ  จำนวน ๓๔๐.๕๐ กรัม  ราคา ๑๐,๒๑๕ บาท  ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายขายโดยมิได้รับอนุญาต   และจำเลยทั้งสองกับพวกดังกล่าวบังอาจร่วมกันส่งออกนอกราชอาณาจักรไทย  ซึ่งเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์จำนวนดังกล่าวไปเพื่อขาย  จำหน่าย  จ่ายแจกในประเทศญี่ปุ่นโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย  ทั้งนี้โดยจำเลยกับพวกร่วมกันนำเอาเฮโรอีนดังกล่าวไปขึ้นเครื่องบินที่ท่าอากาศยานกรุงเทพ  เพื่อเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นแล้ว  แต่เจ้าพนักงานที่ท่าอากาศยานกรุงเทพตรวจพบเสียก่อน  และยึดไว้เป็นของกลาง  จำเลยกบพวกจึงไม่สามารถนำเอาเฮโรอีนดังกล่าวนอกราชอาณาจักรไทยไปได้สำเร็จสมดังเจตนาของจำเลย  ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ  พ.ศ. ๒๔๖๕  มาตรา ๔ ทวิ,  ๑๔, ๒๐, ๒๐ ทวิ, ๒๐ ตรี, ๒๘, ๑๙  พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ  (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๗๙  มาตรา ๑๑  พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ  (ฉบับที่ ๔)  พ.ศ. ๒๕๐๔  มาตรา ๔,  ๕,  ๖,  ๗,  ๑๒  ประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๘๐,  ๘๓  ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ  แต่หลังจากสืบพยานสำเร็จแล้ว    จำเลยที่ ๒  ขอให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว  พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ  พ.ศ. ๒๔๖๕  มาตรา ๔ ทวิ,  ๒๐,  ๒๙  พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๔)  พ.ศ. ๒๕๐๔  มาตรา ๔,  ๕,  ๑๒  ประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๘๐,  ๘๓  ให้จำคุกคนละ ๑๖ ปี  คำให้การจำเลยที่ ๑ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๗๘ หนึ่งในสี่  คงจำคุก ๑๒ ปี  คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ ๒ และคำร้องขอให้การรับสารภาพหลังสืบพยานเสร็จแล้วเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา  ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๗๘ หนึ่งในสาม  คงจำคุก ๑๐ ปี ๘ เดือน ข้อหาอื่นให้ยก  ของกลางริบ
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้องและเรียงกระทงลงโทษด้วย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว  พิพากษาแก้เป็นวาจำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ  พ.ศ. ๒๔๖๕  มาตรา ๒๐ ทวิ  ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๔๖๕ มาตรา ๒๐๘ วรรคท้าย ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๔)  พ.ศ. ๒๕๐๔  มาตรา ๖ ประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๘๓  จำคุกคนละ ๑๒ ปี  เฉพาะจำเลยที่ ๑ มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๔)  พ.ศ. ๒๕๐๔  มาตรา ๕ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐ อีกกระทงหนึ่งด้วย  ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต  คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ ๑ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา  ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๗๘ หนึ่งในสี่  ประกอบประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๕๓  ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ  ฉบับที่ ๑๑  ลงวันที่  ๒๑  พฤศจิกายน  ๒๕๑๔  ข้อ ๑ รวมจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๔๖ ปี ๖ เดือน   จำเลยที่ ๒  ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนและหลังสืบพยานเสร็จแล้ว  ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๗๘ หนึ่งในสาม  คงจำคุกจำเลยที่ ๒  มีกำหนด ๘ ปี  นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๒ ในข้อหาร่วมพยายามนำเฮโรอีนออกไปนอกราชอาณาจักรตามฟ้องด้วย
จำเลยที่ ๑  ฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาเชื่อว่า  จำเลยทั้งสองร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อขาย  จำหน่าย  จ่ายแจก
วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า   ในการที่เจ้าพนักงานจับจำเลยที่ ๑ ได้ที่ท่าอากาศยานกรุงเทพพร้อมเฮโรอีนของกลาง  ก็ปรากฏว่าเป็นวันเวลาที่จำเลยที่ ๑ กำลังจะเดินทางกลับประเทศญี่ปุ่นโดยเครื่องบินในขณะที่จำเลยที่ ๑ กำลังติดต่อตรวจสอบตั๋วเครื่องบินกับเจ้าหน้าที่สายการบินอยู่  จึงถือได้ว่าจำเลยที่ ๑ พยายามนำเฮโรอีนของกลางออกนอกราชอาณาจักรเพื่อขายจำหน่าย หรือจ่ายแจก   จำเลยที่ ๑  จึงมีความผิดตามโจทก์ฟ้อง  ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย  ตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา
การที่จำเลยที่ ๑  บังอาจมีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและเฮโรอีนที่จำเลยที่ ๑ พยายามส่งออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายนั้น  เป็นเฮโรอีนของกลางจำนวนเดียวกัน  การกระจำของจำเลยที่ ๑ เป็นกรรมเดียวซึ่งเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท  ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๗๐/๒๕๒๑  ระหว่างพนักงานอัยการ  กรมอัยการ  โจทก์    นางวิลเลี่ยม  แมคคอย  วอร์ด  หรือ  แมคซิโอวอร์ด  กับพวก    จำเลย  ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย  แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาขึ้นมา  ศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
ส่วนฎีกาของโจทก์ปัญหามีว่าจำเลยที่ ๒  ร่วมกระทำการในการนำเฮโรอีนของกลางออกนอกราชอาณาจักรกับจำเลยที่ ๑ ด้วยหรือไม่  ตามคำเบิกความของพยานโจทก์คงจับจำเลยที่ ๑ ได้พร้อมเฮโรอีนของกลางที่ท่าอากศยานกรุงเทพในขณะที่กำลังจะนำไปประเทศญี่ปุ่นด้วยเครื่องบินเที่ยวเช้าในวันเกิดเหตุ   ส่วนจำเลยที่ ๒  ไม่ได้ร่วมไปกับจำเลยที่ ๑  ด้วย   คงพักอยู่ที่โรงแรมอมรินทร์   ถึงแม้จะได้ความว่าจำเลยที่ ๒ จะเดินทางกลับประเทศญี่ปุ่นในวันเดียวกับจำเลยที่ ๑ เดินทางก็ตาม  แต่เป็นคนละเที่ยวบินกันและแม้จำเลยที่ ๒ จะให้การรับสารภาพตามฟ้องด้วยก็ตาม  ก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๒ ร่วมพยายามนำเฮโรอีนของกลางออกไปนอกราชอาณาจักรตามฟ้อง
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า  จำเลยที่ ๑ มีความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย  ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ  พ.ศ. ๒๔๖๕  มาตรา ๒๐ ทวิ  ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ  (ฉบับที่ ๔)  พ.ศ. ๒๕๐๔  มาตรา ๖  และความผิดฐานพยายามส่งเฮโรอีนออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ  พ.ศ. ๒๔๖๕  มาตรา ๒๐  วรรคสี่  ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๔   มาตรา ๕  ประกอบประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๘๐ ให้ลงโทษจำเลยที่ ๑  ในความผิดฐานพยายามส่งเฮโรอีนออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย  อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๙๐ ให้จำคุกจำเลยที่ ๑  ตลอดชีวิต  คำให้การชั้นสอบสวนจำเลยที่ ๑ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา  มีเหตุบรรเทาโทษ  ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๗๘ หนึ่งในสี่ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๓  ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ  ฉบับที่ ๑๑  ลงวันที่  ๒๑  พฤศจิกายน  ๒๕๑๔  ข้อ ๑  คงจำคุกจำเลยที่ ๑ ไว้  ๓๗ ปี ๖ เดือน  นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์