โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๘ เวลากลางวันจำเลยบังอาจใช้อาวุธปืนยิงทำร้ายนายสว่าง วิไลโสภากุล ๓ นัด จนได้รับอันตรายแก่กายถึงสาหัส โดยจำเลยมีเจตนาฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อน เนื่องจากจำเลยมีสาเหตุโกรธเคืองกับนายสว่างมาก่อน และการกระทำของจำเลยเป็นการทารุณโหดร้าย เมื่อจำเลยยิงนายสว่างไปนัดแรกและถูกนายสว่างแล้ว จำเลยยังยิงซ้ำอีก ๒ นัด จำเลยกระทำผิดไปตลอดแล้ว แต่กระทำไม่บรรลุผล กระสุนปืนที่จำเลยยิงไม่ถูกอวัยวะสำคัญของร่างกาย ประกอบกับนายสว่างได้รับการรักษาทันท่วงทีจึงไม่ถึงแก่ความตาย และจำเลยมีอาวุธปืนพก ๑ กระบอก ปลอกกระสุนปืน ๓ ปลอก ไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ตามกฎหมาย เหตุเกิดที่ตำบลมากแข้ง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๒๘๙, ๘๐ พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๗๒ พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๓ พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๑๗ มาตรา ๓ กับให้ริบของกลาง
นายสว่างผู้เสียหายร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยให้การว่า ได้กระทำการใช้ปืนยิงผู้เสียหายจริง แต่ยิงเพียง ๑ นัดในขณะที่ขาดสติสัมปชัญญะและบันดาลโทสะอย่างรุนแรง เนื่องจากผู้เสียหายก่อเหตุขึ้น จำเลยป่วยเป็นโรคประสาทกำเริบอยู่ระหว่างรักษา จึงลืมตัวไปชั่วขณะ กระทำไปโดยไม่รู้สึกตัว
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙, ๘๐ จำคุกตลอดชีวิต และตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๗๒ ซึ่งแก้ไขแล้ว จำคุก ๖ เดือน เปลี่ยนโทษจำคุกตลอดชีวิติเป็นจำคุก ๕๐ ปี รวมจำคุก ๕๐ ปี ๖ เดือน จำเลยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนและชั้นศาลมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๓๓ ปี ๘ เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่น
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นการไตร่ตรองไว้ก่อน พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ประกอบด้วยมาตรา ๘๐ จำคุก ๑๓ ปี ๔ เดือน รวมกับโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนทีจำคุก ๖ เดือน รวมจำคุก ๑๓ ปี ๑๐ เดือน คำรับชั้นสอบสวนและชั้นศาลเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๙ ปี ๒ เดือน ๒๐ วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยด่าว่าโจทก์ร่วมต่างๆ นานาเรื่องโจทก์ร่วมให้คนมาขุดซ่อมท่อประปาที่ที่ดินหน้าร้านโจทก์ร่วมที่เช่าจากจำเลย โจทก์ร่วมไม่ได้โต้เถียงและบอกจำเลยด้วยว่าเมื่อทำเสร็จแล้วจะกลบท่อประปาให้ดังเดิม แต่แล้วจำเลยกลับใช้ปืนยิงโจทก์ร่วมถึง ๓ นัด โดยไม่ปรากฏพฤติการณ์ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมแต่อย่างใด ฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำไปโดยบันดาลโทสะและปรากฏตามคำแพทย์ผู้รักษาจำเลยว่าเมื่อประมาณ ๓ ปีมานี้จำเลยเป็นโรคเปลี่ยนวัยแต่เมื่อรับการรักษารับประทานยาแล้วอาการก็ดีขึ้น และจำเลยนี้เป็นดูแลกิจการสถานบริการอาบอบนวดของจำเลย ดูแลห้องแถวกับบังกาโลที่ให้เช่า โดยจำเลยสามารถดำเนินธุรกิจและนำเงินไปฝากธนาคารด้วยตนเอง และก่อนเหตุที่จำเลยจะยิงโจทก์ร่วมจำเลยด่าว่าโจทก์ร่วม และหลังเกิดเหตุแล้วจำเลยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวน นำพนักงานสอบสวนชี้ที่เกิดเหตุและแสดงท่าทางให้ถ่ายภาพประกอบคำรับโดยตลอด แสดงว่าจำเลยมีความรู้สึกผิดชอบและสามารถบังคับตนเองได้ ส่วนที่จำเลยใช้ปืนยิงโจทก์ร่วมเป็นการไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่นั้น ปรากฏว่า จำเลยด่าว่าโจทก์ร่วมในตอนแรก เชื่อว่าจำเลยโกรธโจทก์ร่วมที่ให้คนมาขุดดูท่อประปาในที่ดินของจำเลย แต่เหตุการณ์ในตอนแรกนี้ได้ผ่านพ้นไปแล้ว เพราะต่างฝ่ายต่างเข้าร้านของตน แต่เหตุการณ์ในตอนหลังต่อมาประมาณ ๑๐ นาที จำเลยวิ่งออกจากร้านโดยไม่พูดจาแล้วใช้ปืนยิงโจทก์ร่วมทันทีเช่นนี้หาใช่จำเลยกระทำในขณะที่เกิดโทสะพลุ่งขึ้นเฉพาะหน้าไม่ และในช่วงเวลา ๑๐ นาทีที่จำเลยอยู่ในร้านเชื่อว่าจำเลยมีโอกาสคิดไตร่ตรองทบทวนดีแล้วว่าจะยิงโจทก์ร่วมหรือไม่และได้ตระเตรียมปืนไว้ใช้ยิง การที่จำเลยใช้ปืนยิงโจทก์ร่วมจึงเป็นการกระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
จึงพิพากษาแก้เป็นแก้ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙ ประกอบด้วยมาตรา ๘๐ ให้ลงโทษและลดโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น