โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทและให้ชดใช้ค่าต้นไม้ที่จำเลยทำให้เสียทรัพย์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทจำเลยครอบครองจนได้สิทธิครอบครอง ค่าเสียหายไม่มากเท่าที่โจทก์ทั้งสองฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 6 เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน หมู่ที่ 1 ให้จำเลยถมหรือปรับที่ดินดังกล่าวให้อยู่ในสภาพเดิม หากไม่ปฏิบัติให้ชำระเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ทั้งสอง กับให้จำเลยชำระเงินค่าพืชผลเป็นเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ทั้งสองเช่นกัน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยว่าบุกรุกเข้าไปในที่ดินพิพาท นำรถแทรกเตอร์ไถที่ดินและตัดต้นมะพร้าวและต้นมะม่วงเป็นการละเมิด ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย มูลคดีที่โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีนี้จึงเป็นการกระทำอันเดียวกันกับคดีอาญาที่โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยกล่าวหาว่าบุกรุก ลักทรัพย์ และทำให้เสียทรัพย์ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่2274/2533 หมายเลขแดงที่ 2594/2534 ของศาลชั้นต้น คดีนี้จึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา เมื่อผลของคำพิพากษาคดีส่วนอาญามีคำวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทและต้นไม้ในที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยและคดีดังกล่าวถึงที่สุดไปแล้ว ศาลในคดีส่วนแพ่งจึงต้องถือตามข้อเท็จจริงดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ข้อเท็จจริงในคดีนี้จึงต้องฟังว่า ที่ดินพิพาทและต้นไม้ในที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้อง
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น