กรณีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและดอกเบี้ยเป็นเงิน 1,851,173 บาท 39สตางค์ คู่ความได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเมื่อวันที่ 8ธันวาคม 2523 และศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมในวันนั้น คดีถึงที่สุดแล้ว วันที่ 28 มีนาคม 2528 โจทก์ยื่นคำขอว่าจำเลยผิดนัดไม่ยอมชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว ขอให้บังคับคดียึดทรัพย์จำเลย และในวันนั้นโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 96 ตำบลบ้านโพชน์ อำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ยื่นคำร้องว่า จำเลยได้ชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้โจทก์แล้วเป็นเงิน 1,851,173 บาท 39 สตางค์ส่วนดอกเบี้ยที่ค้างชำระจำนวน 293,082 บาท 84 สตางค์ จำเลยก็ได้ชำระให้โจทก์แล้วเป็นเงิน 295,000 บาท โจทก์ไม่มีสิทธิบังคับคดีเอากับจำเลยอีก ขอให้ยกคำขอของโจทก์และปล่อยทรัพย์ของจำเลย
ในวันนัดพร้อมโจทก์แถลงว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ 8 ธันวาคม 2523 ข้อ 3 โจทก์ยังมีสิทธิคิดดอกเบี้ยเอาจากจำเลยในอัตราร้อยละ 12.5 ต่อปีจากต้นเงิน 1,851,173 บาท 39สตางค์นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ 10 ธันวาคม 2524 เป็นเงิน257,620 บาท 32 สตางค์ ทนายจำเลยแถลงว่าในวันที่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จำเลยได้ตกลงกันว่า หากมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโจทก์จะลดดอกเบี้ยให้กับจำเลย โดยในคำฟ้องของโจทก์นั้นโจทก์เรียกดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ18 ต่อปี หากตกลงทำยอมกันได้ โจทก์จะลดอัตราดอกเบี้ยโดยคิดเพียงร้อยละ 12.5 ต่อปีและขอคิดเอาจากจำเลยตั้งแต่วันที่ 10ธันวาคม 2524 เป็นต้นไป โดยก่อนหน้านั้นนับแต่วันทำสัญญายอมจำเลยต้องชำระต้นเงินที่ค้างโจทก์บางส่วนเสียก่อน แล้วจึงได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามข้อตกลงดังกล่าว การที่โจทก์คิดดอกเบี้ยเอาจากจำเลยนับตั้งแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ 10 ธันวาคม2524 จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้นัดฟังคำสั่งแล้วมีคำสั่งว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 3 ความว่า 'จำเลยทั้งสองจะร่วมชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 12 1/2 ต่อปีของเงินที่ยังค้างชำระให้แก่โจทก์ทั้งหมด โดยจะต้องชำระดอกเบี้ยดังกล่าวนี้ทุกๆ 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2524 เป็นต้นไป'หมายความว่าจำเลยจะต้องชำระดอกเบี้ยที่ค้างชำระแก่โจทก์ตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2524 เป็นต้นไป มิได้หมายความว่า ในวันดังกล่าวเป็นวันที่เริ่มคิดดอกเบี้ยจากเงินที่จำเลยค้างชำระโจทก์ตามที่จำเลยแถลง จึงให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่า โดยเนื้อความแห่งข้อสัญญาวันที่ 10 ธันวาคม 2524 คือกำหนดเวลาที่จำเลยต้องชำระดอกเบี้ยงวดแรกของเงินที่ยังค้างชำระแก่โจทก์ ซึ่งจำเลยจะต้องชำระทุกๆ 6 เดือน ส่วนดอกเบี้ยจะต้องเสียนับแต่เมื่อใดนั้น สัญญาไม่ได้กำหนดไว้ จึงต้องนับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความคือวันที่ 8 ธันวาคม 2523 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาพิจารณาตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยนับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความคือวันที่ 8 ธันวาคม 2523 หรือว่ามีสิทธิคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2524 เป็นต้นไป ดังที่จำเลยฎีกาสัญญาประนีประนอมยอมความ ฉบับลงวันที่ 8 ธันวาคม 2523 ข้อ 3 ความว่า'จำเลยทั้งสองจะร่วมกันชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 12 1/2 ต่อปีของเงินที่ยังค้างชำระให้แก่โจทก์ทั้งหมดโดยจะต้องชำระดอกเบี้ยดังกล่าวนี้ทุกๆ 6 เดือน นับแต่วันที่ 10ธันวาคม 2524 เป็นต้นไป' ศาลฎีกาเห็นว่าเดิมจำเลยต้องรับผิดใช้ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี แต่ในสัญญาประนีประนอมยอมความให้รับผิดเพียงร้อยละ 12 1/2 ต่อปี แสดงว่าคู่สัญญามีความประสงค์จะผ่อนผันให้แก่กัน และตามข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวมิได้กำหนดไว้ให้ชัดเจนว่า จะคิดดอกเบี้ยตั้งแต่เมื่อใดจึงเป็นกรณีที่มีข้อสงสัย ต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่จำเลยผู้เป็นคู่กรณีฝ่ายซึ่งจะเป็นผู้ต้องเสียในมูลหนี้ดังนั้น จำเลยทั้งสองต้องรับผิดใช้ดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2524 เป็นต้นไป เพราะหากคู่กรณีประสงค์จะให้จำเลยทั้งสองรับผิดใช้ดอกเบี้ยตั้งแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว ก็ชอบที่จะระบุลงไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความว่า ให้จำเลยทั้งสองรับผิดใช้ดอกเบี้ยตั้งแต่วันทำสัญญานี้เป็นต้นไปและข้อเท็จจริงก็ได้ความว่า ดอกเบี้ยตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว จำเลยทั้งสองได้ชำระให้โจทก์ครบถ้วนแล้วตามเอกสารท้ายคำร้องหมายเลข 5 ซึ่งโจทก์มิได้คัดค้านความข้อนี้ ดังนั้น จึงไม่มีดอกเบี้ยตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 3 ที่จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดใช้ให้แก่โจทก์ การที่โจทก์นำยึดที่ดินของจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ยกคำร้องของจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษากลับ ให้ยกคำขอของโจทก์ ให้ถอนการยึดที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 96 ตำบลบ้านโพชน์ อำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ เสียให้โจทก์รับผิดใช้ค่าธรรมเนียมการยึดทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย.