โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2502 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2505 ทั้งเวลากลางวันและกลางคืน จำเลยซึ่งรับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนรัฐพาณิชย์ตำแหน่งเสมียนพนักงานประจำที่ทำการไปรษณีย์อนุญาตคำชะอี ได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ครอบครองจัดการเก็บดูแลรักษา และรับจ่ายเงินค่าจำหน่ายไปรษณียากรและอากรแสตมป์ รับไปรษณีย์ภัณฑ์ธรรมดาและลงทะเบียน รับพัสดุไปรษณีย์ในและต่างประเทศทั้งธรรมดาและลงทะเบียน และเก็บเงิน รับจดหมายและพัสดุไปรษณีย์ รับประกันต่างประเทศ รับโทรเลขในและต่างประเทศ รับโทรศัพท์ทางไกลสาธารณะโทรศัพท์ รับและจ่ายเงินออมสิน รับและจ่ายเงินธนาณัติในประเทศ จ่ายไปรษณีย์ภัณฑ์และพัสดุไปรษณีย์กับโทรเลขให้แก่ประชาชนและกิจการอื่น ๆ อันเกี่ยวกับงานไปรษณีย์อนุญาตมีหน้าที่จัดการรักษาทรัพย์และเงินตลอดจนเบิกเงินจากคลัง และส่งเงินเข้าคลังอันเกี่ยวกับกิจการงานไปรษณีย์อนุญาตจำเลยบังอาจใช้อำนาจตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริตเบียดบังยักยอกเงินจำหน่ายดวงตราไปรษณีย์หรือดวงตราไปรษณีย์ เงินค่าปรับ เงินค่าคำโทรเลข เงินค่าธนาณัตและเงินค่าธรรมเนียม เงินเช็คไปรษณีย์และค่าธรรมเนียมเช็คไปรษณีย์และเงินเบิกจากคลัง ซึ่งอยู่ในหน้าที่ที่จำเลยจัดการรับจ่ายเก็บดูแลรักษา และอยู่ในความครอบครองของจำเลยดังกล่าวแล้วเป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 9,595 บาท 98 สตางค์ เป็นประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยเองหรือของผู้อื่น ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวนี้เป็นของราชการที่ทำการไปรษณีย์อนุญาต นายอำเภอคำชะอี ในฐานะนายไปรษณีย์อนุญาต ผู้แทนการไปรษณีย์ได้ตรวจพบ จึงได้จับกุมจำเลยนำส่งพนักงานสอบสวนและร้องทุกข์ให้ดำเนินคดี
ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 151, 352และให้จำเลยใช้เงินแก่ผู้เสียหาย
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องของโจทก์บรรยายว่าจำเลยมีหน้าที่ต่าง ๆ เกี่ยวกับกิจการไปรษณีย์อนุญาต และรับเงินประเภทต่าง ๆ รวมทั้งเบิกเงินจากคลังในหน้าที่ของจำเลยกับจัดการรับจ่ายและดูแลรักษาในระหว่างตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2502 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2505 เป็นเวลาถึง 3 ปี 3 เดือน จำเลยทุจริตเบียดบังยักยอกเงินประเภทต่าง ๆ เหล่านั้นไปรวม 9,595.98 บาทโดยโจทก์มิได้บรรยายให้ได้ความชัดว่าจำเลยได้รับเงินประเภทใดมาเท่าใดและยักยอกเงินประเภทนั้นไปเท่าใด ดังนี้ จำเลยจะเข้าใจข้อหาเกี่ยวกับทรัพย์หรือสิ่งของที่จำเลยต้องหาว่าเบียดบังยักยอกมิได้เลย แล้วจำเลยจะแก้ข้อหาให้ถูกต้องได้อย่างไร ทั้งในตอนท้ายที่กล่าวว่านายอำเภอคำชะอีในฐานะนายไปรษณีย์อนุญาตได้ตรวจพบ ก็ไม่ปรากฏว่าได้ตรวจพบอะไร ถ้าไม่มีบัญชีหรือหลักฐานการรับเงินส่งเงินเช่นต้นขั้วใบเสร็จ ใบเบิกเงิน และใบนำส่งเงินแล้ว จะตรวจทราบได้อย่างไรว่าจำเลยรับมาเท่าใด ขาดไม่ส่งไปเท่าใด
ดวงตราไปรษณีย์ก็ระบุราคาอยู่แล้วว่าเท่าใด จำเลยรับมากี่ดวง จำหน่ายไปกี่ดวง และเหลือเท่าใด ก็ย่อมทราบได้ ซึ่งโจทก์ย่อมสามารถบรรยายในฟ้องได้โดยชัดแจ้ง แต่เมื่อฟ้องของโจทก์บรรยายว่า เงินค่าดวงตราไปรษณีย์หรือดวงตราไปรษณีย์เป็นสองแง่ดังนี้ ก็ไม่มีทางทราบได้ว่าจำเลยได้ยักยอกเงินค่าขายดวงตราไปรษณีย์หรือได้ยักยอกตัวดวงตราไปรษณีย์ ฟ้องของโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 เป็นฟ้องที่ไม่สมควรจะรับไว้พิจารณา ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 175/2497
พิพากษายืน