โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขายตั๋วแลกเงิน 2 ฉบับรวมเป็นเงิน 75,000 บาทให้โจทก์ไปเก็บเงินที่บริษัทเอ็กและบริษัทชื่อง่วนหลี บริษัททั้งสองปฏิเสธการใช้เงิน จำเลยจึงได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์และมอบเช็คของจำเลยไว้ให้โจทก์ จำเลยไม่ชำระเงินให้โจทก์จำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว จึงขอให้พิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้โดยสำคัญผิด จำเลยพ้นจากความรับผิดจากตั๋วแลกเงินนั้นแล้ว เพราะโจทก์ยอมผ่อนเวลาให้แก่ผู้จ่ายเงิน ทำให้จำเลยเสียหาย จำเลยไม่ใช่เป็นคนมีหนี้สินล้นพ้นตัว
ก่อนสืบพยานจำเลยแถลงรับว่าจำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้จริง ฝ่ายโจทก์รับว่าบริษัทผู้จ่ายตามที่ระบุให้ตั๋วแลกเงินทั้งสองฉบับได้ลงลายมือชื่อและประทับตรารับรองว่าจะจ่ายเงินตามตั๋วแล้ว แต่เมื่อครบกำหนดโจทก์ยอมผ่อนผันการชำระเงินโดยมิได้แจ้งให้จำเลยทราบ
เมื่อสืบพยานแล้วศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์สิ้นสิทธิการไล่เบี้ยแล้ว จำเลยยอมทำหนังสือรับสภาพหนี้โดยสำคัญผิด พิพากษาให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่ามูลหนี้เดิมค่าขายตั๋วแลกเงินยังมีอยู่ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1005 เมื่อจำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้และออกเช็คให้อีกด้วย จำเลยจึงต้องผูกพันตามนิติกรรมที่ทำใหม่นั้นและฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว พิพากษากลับให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด แต่มีผู้พิพากษานายหนึ่งทำความเห็นแย้งว่าจำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้โดยสำคัญผิด เพราะโจทก์ผ่อนเวลาให้บริษัทผู้จ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินทำให้จำเลยเสียหาย หนี้เดิมจึงไม่มีอยู่ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1005 เห็นควรพิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าการที่โจทก์ยอมผ่อนเวลาให้แก่ผู้จ่ายโดยไม่ได้ตกลงกับจำเลยนั้น โจทก์ย่อมสิ้นสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาจากจำเลย และไม่มีเหตุที่จำเลยจะต้องรับผิดตามกฎหมายต่อโจทก์อีกต่อไปการที่จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ก็เพราะโจทก์ลวงให้สำคัญผิดว่าผู้จ่ายปฏิเสธไม่รับรองการจ่ายเงิน จึงเป็นโมฆะตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย มาตรา 119 เช็คที่จำเลยเขียนให้เนื่องด้วยหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้จึงย่อมไม่เกิดมูลหนี้ใด ๆ ตามเช็คนั้นที่จำเลยจะต้องรับผิด
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์