โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายมีจำเลยที่ 2เป็นกรรมการผู้จัดการ มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1จำเลยทั้งสองร่วมกันออกเช็คธนาคารนครหลวงไทย จำกัด สาขาสีลม ลงวันที่ 10 มกราคม 2533 สั่งจ่ายเงินจำนวน 338,643,938.70 บาท ให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นวธนกิจ จำกัด ผู้เสียหาย เพื่อชำระหนี้ แต่ธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2533 โดยใช้เหตุผลว่า "ยังรอเรียกเก็บเงินอยู่ โปรดนำมายื่นใหม่" ทั้งนี้โดยจำเลยทั้งสองร่วมกันออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการให้เงินตามเช็ค หรือร่วมกันออกเช็คให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ในขณะที่ออกเช็คนั้น ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497มาตรา 3 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นวธนกิจ จำกัดผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ลงโทษจำเลยที่ 1 ปรับ 100,000 บาทลงโทษจำเลยที่ 2 จำคุก 1 ปี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอถอนคำร้องทุกข์จำเลยที่ 2 ศาลอุทธรณ์อนุญาต ให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4 ให้ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 60,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ร่วมเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ในการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2533จำเลยที่ 1 ได้สั่งให้โจทก์ร่วมซื้อหุ้นให้แก่จำเลยที่ 1 ต่อมาได้ออกเช็คธนาคารนครหลวงไทย จำกัด สาขาสีลมลงวันที่ 10 มกราคม 2533 ตามเอกสารหมาย จ.2 เพื่อชำระหนี้ค่าหุ้นดังกล่าวให้แก่โจทก์ร่วม โดยจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อและประทับตราของจำเลยที่ 1 ครั้นเมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์ร่วมได้นำไปเข้าบัญชีที่ธนาคารทหารไทย จำกัด สำนักงานใหญ่เพื่อเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเอกสารหมาย จ.3 และ จ.4 จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. 2522 มาตรา 46 ซึ่งบัญญัติให้โจทก์ร่วมต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดและตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ฉบับลงวันที่ 17 เมษายน 2530 ได้กำหนดวิธีการไว้ในข้อ 2(2) ว่า บริษัทหลักทรัพย์จะต้องดำเนินการให้ผู้ซื้อชำระราคาทันทีหรืออย่างช้าไม่เกิน 3 วันทำการนับแต่วันที่ซื้อหลักทรัพย์ หากบุคคลนั้นไม่ชำระบริษัทหลักทรัพย์ต้องดำเนินการขายหลักทรัพย์นั้นไม่ช้ากว่าวันทำการถัดจากวันที่ครบกำหนดเวลาดังกล่าว เมื่อเช็คพิพาทที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายให้แก่โจทก์ร่วมเรียกเก็บเงินไม่ได้โจทก์ร่วมจะต้องนำหลักทรัพย์ที่จำเลยที่ 1สั่งซื้อออกขายไม่ช้ากว่าวันทำการถัดจากวันที่ครบกำหนดดังกล่าวแต่โจทก์ร่วมหาได้ปฏิบัติตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยไม่การกระทำของโจทก์ร่วมจึงเป็นการกระทำขัดต่อกฎหมายดังกล่าวโดยชัดแจ้ง โจทก์ร่วมจึงไม่ใช่ผู้เสียหาย เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1ออกเช็คเอกสารหมาย จ.2 เพื่อชำระหนี้ค่าหุ้นให้โจทก์เป็นการชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อปรากฏธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เพราะจำเลยที่ 1 มีเงินในบัญชีไม่พอจ่าย โจทก์ร่วมเป็นผู้ทรงเช็คจึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์และเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้ โจทก์ร่วมจะกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. 2522 มาตรา 46 หรือไม่เป็นกรณีที่จะต้องไปว่ากล่าวกันอีกเรื่องหนึ่งไม่เกี่ยวกับคดีนี้ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน