โจทก์ฟ้องว่า จำเลยร่วมกับพวกเรียกเงินจากนางสาวสีอนุ ราชาผู้เสียหายเป็นการตอบแทนในการที่จำเลยกับพวกจะจูงใจร้อยตำรวจโทสนธยาใหญ่ไร้บาง ด้วยวิธีอันทุจริต ให้ร้อยตำรวจโทสนธยา กระทำการและไม่กระทำการในหน้าที่พนักงานสอบสวน ไม่ดำเนินคดีกับนายนัฐธิวุฒติช่วงชุญหสอง และปล่อยตัวนายณัฐธิวุฒิ ให้หลุดพ้นจากข้อหาลักทรัพย์ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 143
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 143, 83 ให้จำคุก 3 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยมีเจตนาเพียงหลอกเอาเงินจากผู้เสียหายเท่านั้น จึงขาดเจตนากระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 143 พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้ชัดแจ้งว่า จำเลยกับพวกได้บังอาจร่วมกันเรียกเงินจำนวน 30,000 บาท จากนางสาวสีอนุราชา ผู้เสียหายเป็นการตอบแทนในการที่จำเลยกับพวกจะจูงใจร้อยตำรวจโทสนธยา ใหญ่ไร้บาง พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลสามเสนด้วยวิธีอันทุจริตให้ร้อยตำรวจโทสนธยา ใหญ่ไร้บาง กระทำการในหน้าที่พนักงานสอบสวนให้ไม่ดำเนินกับนายณัฐธิวุฒิ ช่วงชุณหสอง สามีผู้เสียหาย เห็นว่าเป็นการบรรยายฟ้องให้เห็นถึงการกระทำและเจตนาของจำเลยว่าจำเลยเจตนาเรียกเอาเงินจากผู้เสียหายเป็นค่าตอบแทนในการที่จำเลยอ้างว่าจะจูงใจเจ้าพนักงานไม่ให้ดำเนินคดีกับสามีผู้เสียหาย และปล่อยตัวให้หลุดพ้นจากคดีข้อหาลักทรัพย์อันถือได้ว่าเป็นการบรรยายฟ้องครบองค์ประกอบแห่งความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 แล้ว ส่วนการที่จำเลยจะได้ไปติดต่อหรือจูงใจเจ้าพนักงานหรือไม่ มิใช่องค์ประกอบแห่งความผิดอันต้องบรรยายในฟ้องสำหรับการบรรยายฟ้องในตอนต้นที่ว่า จำเลยกับพวกบังอาจใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหายโดยเอาความเท็จมากล่าวว่า จำเลยรู้จักกับเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลสามเสน สามารถวิ่งเต้นพนักงานสอบสวนให้สามีผู้เสียหายหลุดพ้นจากคดีได้นั้น เป็นการกล่าวถึงพฤติการณ์แห่งการกระทำผิดของจำเลยว่าได้เอาความเท็จมากล่าวเพื่อหลอกลวงผู้เสียหายให้จ่ายเงินเป็นการตอบแทนจำเลยกับพวกในการจะจูงใจเจ้าพนักงาน จะถือว่าจำเลยไม่มีเจตนาในการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 หาได้ไม่
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ ตามรูปคดี.