โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๕ มิ.ย. ๒๔๙๙ เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยกับพวกที่เป็นพลเรือนอีก ๔ คนสมคบกันปล้นทรัพย์ ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๓๐๑ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญามาตรา พ.ศ.๒๔๗๗ (ฉบับที่ ๔) มาตรา ๗ กับขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์
จำเลยปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลย ๑๒ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ ประกอบ พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.๒๔๙๙ มาตรา ๘ กับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยปล้นทรัพย์จริงตามฟ้อง แต่จำเลยทำผิดในขณะใช้กฎหมายลักษณะอาญาต้องปรับบทลงโทษตามกฎหมายที่ใช้ในขณะทำผิดพิพากษาแก้ว่า จำเลยมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๓๐๑
ศาลฎีกาตรวจสำนวน โจทก์นำสืบโดยเจ้าทรัพย์ทั้ง ๕ คนและพยานโจทก์อีกคนหนึ่งเบิกความว่า จำเลยกับพวกทำการปล้นเมื่อวันที่ ๑๕ ม.ย.๒๔๙๙ เวลา ๐๒.๐๐ น.ซึ่งรุ่งขึ้นเป็นวันที่ ๑๖ มิ.ย.๒๔๙๙
วันเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง คือคืนวันที่ ๑๔ มิ.ย.๒๔๙๙ ในระยะเวลาที่ล่วงเลย ๒๔.๐๐ น.ของวันที่ ๑๔มิ.ย.แล้ว เริ่มระยะเวลาของวันใหม่คือวันที่ ๑๕ ม.ย.เป็นระยะเวลาตั้งแต่ ๐๑.๐๐ น.ถึง ๐๖.๐๐ น.อันเป็นเวลากลางคืนก่อนเที่ยงของวันที่ ๑๕ มิ.ย.๒๔๙๙ นั้น ส่วนวันเวลาที่โจทก์นำสืบคือเวลา ๐๒.๐๐ น.ของคืนวันที่ ๑๕ มิ.ย.๒๔๙๙ ซึ่งวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ ๑๖ มิ.ย.๒๔๙๙ เป็นเวลากลางคืนอีกคืนหนึ่ง คือคืนของวันรุ่งขึ้นจากวันเกิดเหตุที่โจทก์ฟ้อง
ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงต่างกับฟ้อง ซึ่งข้อเท็จจริงในข้อวันเวลาเกิดเหตุนี้ย่อมเป็นสาระสำคัญของคำฟ้องและการพิจารณาและจำเลยได้หลงข้อต่อสู้ว่าตามวันเวลาที่โจทก์ฟ้อง จำเลยเป็นเวรยามอยู่ในกรมกองทหาร ย่อมฟังไม่ได้ว่าจำเลยทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง คดีไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยถึงข้อเท็จจริงต่อไป
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง