โจทก์ฟ้องว่า  เจ้าของที่นามีโฉนด ๓ แปลง  ได้ยกแปลงที่ ๑  โฉนดที่ ๔๘๐  ให้โจทก์ที่ ๑ แปลงที่ ๒ โฉนดที่ ๔๘๕  ให้โจทก์ที่ ๒  แปลงที่ ๓  โฉนดที่ ๔๗๗  ให้บิดามารดาจำเลย  ผู้รับทุกคนได้เข้าครอบครองตั้งแต่ยกให้  ต่อมาเจ้าของจัดการโอนให้ผู้รับ  แต่โอนโฉนดผิดไขว้แปลง  ผู้รับก็สำคัญผิด  จึงต่างครอบครองมากว่า ๑๐ ปี จนได้กรรมสิทธิ์แล้วทุกคนโจทก์ที่ ๒  ได้ขายให้โจทก์ที่ ๓ ครึ่งหนึ่งต่อมาโจทก์ที่ ๒ - ๓  ฟ้องจำเลยให้โอนโฉนดแลกเปลี่ยนกัน  ที่สุดศาลพิพากษาตามยอมว่า ที่ดินโฉนดที่ ๔๘๐  เป็นของโจทก์ที่ ๒ - ๓  ที่ดินโฉนดที่ ๔๘๕  เป็นของจำเลย  โจทก์ที่ ๒ - ๓  สำคัญว่าตนจะได้ที่ดินที่ตนครอบครอง  จำเลยรู้ความจริงฉวยโอกาสเอาเปรียบโจทก์  ขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินโฉนดที่ ๔๘๕  เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ ๒ และ ๓  ให้จดทะเบียนโอนแก้โฉนดเสียให้ตรง  และให้คำพิพากษาตามยอมเป็นอันไม่ใช้บังคับ
จำเลยให้การว่า  โจทก์ที่ ๑  มิได้เสียหายหรือเกี่ยวข้องกับที่ดินโฉนดที่ ๔๘๕  ของจำเลย  ไม่มีอำนาจฟ้อง   โจทก์ที่ ๒ - ๓  ยอมความแล้ว  จะฟ้องอีกไม่ได้
ศาลเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้  ให้งดสืบพยาน  แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า  ตามฟ้องโจทก์บรรยายว่า  ชื่อเจ้าของตามโฉนดที่ ๔๘๐  เป็นชื่อโจทก์ที่ ๒ และ ๓  ต่อมาศาลพิพากษาตามยอมว่า  ที่ดินโฉนดที่ ๔๘๐  เป็นของโจทก์ที่ ๒ และ ๓  ดังนี้  ย่อมเห็นได้ว่า  ขณะโจทก์ที่ ๒ และ ๓ ทำยอมความกับจำเลย  ที่ดินโฉนดที่ ๔๘๐ มีชื่อโจทก์ที่ ๒ และ ๓ ถือกรรมสิทธิ์อยู่  โจทก์ที่ ๒ และ ๓ ย่อมมีสิทธิทำยอมได้  เมื่อภายหลังยอมความแล้ว  ถ้าโจทก์ที่ ๑ มีสิทธิดีกว่าโจทก์ที่ ๒ และ ๓ ประการใด  ก็ชอบที่จะว่ากล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา ๑๔๕(๒)  โจทก์ที่ ๑ จะมาฟ้องจำเลยหาได้ไม่
ปัญหาที่ว่า  การใช้สิทธิของจำเลยไม่สุจริต  โจทก์ที่ ๒ และ ๓ มีสิทธิฟ้องหรือไม่  เห็นว่า  ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา ๑๓๘  บัญญัติว่า  ในคดีที่คู่ความประนีประนอมยอมความกัน  ให้ศาลพิพากษาไปตามนั้น  และห้ามอุทธรณ์  เว้นแต่(๑)  เมื่อมีข้อกล่าวอ้างว่าฝ่ายหนึ่งฉ้อฉล  มาตรา ๑๔๕  บัญญัติว่า  คำพิพากษาให้ผูกพันคู่ความนับแต่วันพิพากษาจนถึงวันที่ได้ถูกเปลี่ยนแก้ไข  กลับ หรืองดเสีย  ตามนัยของกฎหมาย ดังกล่าว  จะเห็นได้ว่าสิทธิของโจทก์เป็นสิทธิทางอุทธรณ์ฎีกา  มิใช่นำคดีมาฟ้องเช่นคดีนี้
ปัญหาที่ว่า  ฟ้องของโจทก์ที่ ๒ และ ๓  เป็นฟ้องซ้ำหรือไม่  เห็นว่าไม่ใช่แต่เป็นกรณีใช่สิทธิผิดทาง
พิพากษายืน.