พบผลลัพธ์ทั้งหมด 22 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 539/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือเลิกสภาพสมรส, พฤติกรรมชู้สาว, ข่มขู่ทำร้าย และสิทธิค่าอุปการะเลี้ยงดูในคดีหย่า
สามีภริยาได้ทำหนังสือลงลายมือชื่อสามีภริยาและพยาน 2 คน มีข้อความว่าได้พร้อมใจกันเลิกสภาพการเป็นสามีภริยากันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เช่นนี้ เป็นการเลิกสภาพการเป็นสามีภริยาโดยพฤตินัย แต่โดยทางนิตินัยยังมิได้หย่าขาดกันตามกฎหมาย หรือมีความประสงค์จะไปจดทะเบียนในภายหลัง และต่อมาอีก 5 วัน สามีโทรเลขให้ภริยากลับบ้านบอกว่าฉีกหนังสือนั้นแล้ว ต่อมาได้คืนดีกันและประพฤติต่อกันฉันสามีภริยาอีก ดังนี้ จะถือว่าหย่าขาดจากกันตามหนังสือดังกล่าวไม่ได้
ภริยาส่งจดหมายถึงสามีมีใจความว่า สามีเป็นสัตว์ป่าในร่างมนุษย์ เป็นการหมิ่นประมาทสามีอย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุให้สามีฟ้องหย่าได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1500 (2)
ภริยาส่งจดหมายถึงสามีข้อความว่า ภริยาจะจ้างด้วยเงิน ด้วยตัวกับผู้ที่หลงรักภริยา ให้เอาน้ำกรดสาดหน้าสามี ย่อมถือได้ว่าภริยาทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง จนสามีไม่อาจจะอยู่กินกันได้ เพราะอาจได้รับอันตรายจากภริยาเมื่อใดก็ได้ อันเป็นเหตุให้สามีฟ้องหย่าได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1500 (3)
ภริยามีที่ดินและอาคารราคาสองแสนบาทเศษ ใช้อาคารนั้นเป็นหอพักเก็บผลประโยชน์ได้เดือนละ 1,000 บาทเศษ และทำงานได้เงินเดือน ๆ ละ 1,975 บาท ถือว่าภริยามีรายได้พอจากทรัพย์สินและการงานที่ทำ เมื่อหย่ากันโดยสามีภริยาเป็นผู้ต้องรับผิดทั้งสองฝ่าย สามีไม่ต้องจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูให้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1506
แม้โจทก์ฟ้องขอหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ราคา 1500 (2) (3) เมื่อพ้นกำหนด 3 เดือนนับแต่วันรู้เหตุหย่าก็ตาม แต่จำเลยไม่ได้ยกเอาเหตุแห่งการระงับของสิทธิฟ้องร้องตามมาตรา 1509 ขึ้นต่อสู้ไว้ ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้
ภริยาส่งจดหมายถึงสามีมีใจความว่า สามีเป็นสัตว์ป่าในร่างมนุษย์ เป็นการหมิ่นประมาทสามีอย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุให้สามีฟ้องหย่าได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1500 (2)
ภริยาส่งจดหมายถึงสามีข้อความว่า ภริยาจะจ้างด้วยเงิน ด้วยตัวกับผู้ที่หลงรักภริยา ให้เอาน้ำกรดสาดหน้าสามี ย่อมถือได้ว่าภริยาทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง จนสามีไม่อาจจะอยู่กินกันได้ เพราะอาจได้รับอันตรายจากภริยาเมื่อใดก็ได้ อันเป็นเหตุให้สามีฟ้องหย่าได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1500 (3)
ภริยามีที่ดินและอาคารราคาสองแสนบาทเศษ ใช้อาคารนั้นเป็นหอพักเก็บผลประโยชน์ได้เดือนละ 1,000 บาทเศษ และทำงานได้เงินเดือน ๆ ละ 1,975 บาท ถือว่าภริยามีรายได้พอจากทรัพย์สินและการงานที่ทำ เมื่อหย่ากันโดยสามีภริยาเป็นผู้ต้องรับผิดทั้งสองฝ่าย สามีไม่ต้องจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูให้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1506
แม้โจทก์ฟ้องขอหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ราคา 1500 (2) (3) เมื่อพ้นกำหนด 3 เดือนนับแต่วันรู้เหตุหย่าก็ตาม แต่จำเลยไม่ได้ยกเอาเหตุแห่งการระงับของสิทธิฟ้องร้องตามมาตรา 1509 ขึ้นต่อสู้ไว้ ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 841/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้ร่วมสามีภริยาหลังหย่า: การบังคับชำระหนี้ต่อทรัพย์สินส่วนตัว
หนี้ร่วมระหว่างสามีภริยาได้มีบัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1482 ซึ่งเห็นได้ชัดว่าต้องเป็นหนี้ที่ก่อขึ้นต้องตามที่บัญญัติไว้ 4 ประการ จึงให้ถือว่าเป็นหนี้ร่วมกัน ไม่มีบทกฎหมายบัญญัติว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ในระหว่างที่จำเลยกับผู้ร้องขัดทรัพย์เป็นสามีภริยากัน ต้องสันนิษฐานว่าจำเลยกู้เงินโจทก์มาเพื่อใช้จ่ายในครอบครัวและเป็นหนี้ร่วมกันอันผู้ร้องขัดทรัพย์จะต้องชำระหนี้ด้วยเลย ดังนั้น เมื่อจำเลยกับผู้ร้องขัดทรัพย์ได้หย่าขาดจากสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายและแบ่งทรัพย์สินกันเสร็จเรียบร้อย โจทก์ก็ไม่มีอำนาจจะยึดห้องแถวอันตกเป็นของผู้ร้องขัดทรัพย์ได้
จำเลยกับผู้ร้องขัดทรัพย์ได้หย่าขาดจากสามีภริยากันโดยจดทะเบียนการหย่าโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ย่อมมีผลใช้ยันบุคคลภายนอกได้ด้วย
จำเลยกับผู้ร้องขัดทรัพย์ได้หย่าขาดจากสามีภริยากันโดยจดทะเบียนการหย่าโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ย่อมมีผลใช้ยันบุคคลภายนอกได้ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 841/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้ร่วมสามีภริยาหลังหย่า: การบังคับคดียึดทรัพย์สินที่แบ่งแล้วเป็นโมฆะ
หนี้ร่วมระหว่างสามีภริยาได้มีบัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1482 ซึ่งเห็นได้ชัดว่าต้องเป็นหนี้ที่ก่อขึ้นต้องตามที่บัญญัติไว้ 4 ประการ จึงให้ถือว่าเป็นหนี้ร่วมกัน ไม่มีบทกฎหมายบัญญัติว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ในระหว่างที่จำเลยกับผู้ร้องขัดทรัพย์เป็นสามีภริยากันต้องสันนิษฐานว่าจำเลยกู้เงินโจทก์มาเพื่อใช้จ่ายในครอบครัวและเป็นหนี้ร่วมกันอันผู้ร้องขัดทรัพย์จะต้องชำระหนี้ด้วยเลย ดังนั้น เมื่อจำเลยกับผู้ร้องขัดทรัพย์ได้หย่าขาดจากสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย และแบ่งทรัพย์สินกันเสร็จเรียบร้อย โจทก์ก็ไม่มีอำนาจจะยึดห้องแถวอันตกเป็นของผู้ร้องขัดทรัพย์ได้
จำเลยกับผู้ร้องขัดทรัพย์ได้หย่าขาดจากสามีภริยากันโดยจดทะเบียนการหย่าโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ย่อมมีผลใช้ยันบุคคลภายนอกได้ด้วย.
จำเลยกับผู้ร้องขัดทรัพย์ได้หย่าขาดจากสามีภริยากันโดยจดทะเบียนการหย่าโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ย่อมมีผลใช้ยันบุคคลภายนอกได้ด้วย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 580/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับให้จดทะเบียนหย่าหลังทำหนังสือหย่าโดยความสมัครใจ แม้ฝ่ายหนึ่งไม่ไปจดทะเบียน
สามีภริยาที่จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายแล้ว ได้ทำหนังสือหย่ากันเองด้วยความสมัครใจ มีพยาน 2 คนลงชื่อในหนังสือหย่า อีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอมไปจดทะเบียนหย่าที่อำเภอ ศาลบังคับให้ไปจดทะเบียนหย่าได้ถ้าไม่ไปก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนเจตนา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 580/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับให้จดทะเบียนหย่าหลังทำหนังสือหย่าโดยสมัครใจ แม้ฝ่ายหนึ่งไม่ยินยอม
สามีภริยาที่จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายแล้ว ได้ทำหนังสือหย่ากันเองด้วยความสมัครใจ มีพยาน 2 คนลงชื่อในหนังสือหย่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอมไปจดทะเบียนหย่าที่อำเภอ ศาลบังคับให้ไปจดทะเบียนหย่าได้ถ้าไม่ไปก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนเจตนา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1291/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์: การสมรสหลังใช้กฎหมายใหม่และการบังคับจดทะเบียน
โจทก์จำเลยจดทะเบียนสมรสกันภายหลังใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ต่อมาได้ตกลงทำหนังสือหย่ากันไว้โดยความยินยอมทั้ง 2 ฝ่าย และมีพยานลงลายมือชื่อ 2 คนถูกต้องตาม มาตรา 1498 วรรคสอง แต่จำเลยบิดพริ้วไม่ยอมไปจดทะเบียนการหย่าตามมาตรา 1499 โจทก์ย่อมฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนการหย่าเพื่อความสมบูรณ์ตาม มาตรา 1499 ได้ และถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ก็ให้ถือคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213
ถ้าผัวเมียสมรสกันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 หนังสือหย่านี้จะใช้ได้สมบูรณ์ทันทีในขณะได้ทำหนังสือสัญญาหย่านี้เสร็จ(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 11/2500)
ถ้าผัวเมียสมรสกันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 หนังสือหย่านี้จะใช้ได้สมบูรณ์ทันทีในขณะได้ทำหนังสือสัญญาหย่านี้เสร็จ(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 11/2500)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 763/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสละสิทธิในทรัพย์สินหลังหย่า: เจตนาชัดเจนถือเป็นอันสิ้นสุด
โจทก์จำเลยจดทะเบียนสมรสกัน แล้วโจทก์(ภริยา) ได้โอนกรรมสิทธิที่ดินของตนให้จำเลย(สามี)แล้วทำหนังสือสละทรัพย์สินส่วนของตนให้แก่จำเลยโดยระบุไว้แจ้งชัดว่าสละให้เพราะจะไปอยู่กินกับชายชู้ แล้วโจทก์กับจำเลยได้จดทะเบียนหย่าขาดกันโดยโจทก์ได้แสดงเจตนาเมื่อจดทะเบียนหย่ายืนยันสละสิทธิของโจทก์ในทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาโดยกล่าวว่าไม่มีอะไรจะแบ่งกันแล้วดังนี้ ย่อมฟังได้ว่าการหย่าและแบ่งทรัพย์ระหว่างโจทก์จำเลยได้เสร็จเด็ดขาดไปแล้วโจทก์จะกลับรื้อฟื้นฟ้องร้องว่ายังไม่ได้แบ่งทรัพย์กันนั้นไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 863-864/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นิติกรรมอำพรางและการซื้อขายที่ดินโดยกลฉ้อฉล ศาลเพิกถอนได้
สามีภริยาไปจดทะเบียนหย่าที่อำเภอ แต่ความจริงนั้นทั้งสองฝ่ายมิได้มีเจตนาจะหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันเลย ที่ทำไปก็เพื่อจะลวงผู้อื่นเกี่ยวกับทรัพย์สินของสามีภริยานั่นเอง แล้วภริยาทำนิติกรรมขายที่ดินบ้านเรือนอันเป็นสินเดิมให้สามีเพื่อกีดกันบุตรของภริยาอันเกิดแต่สามีคนเก่า แต่ความจริงมิได้ขายกัน ดังนี้นิติกรรมซื้อขายย่อมเป็นโมฆะ
ภริยามีเจตนาจะขายฝากที่ดินแก่ผู้อื่น แต่เนื่องจากไม่เข้าใจในกิจธุระเช่นนี้ และไม่รู้หนังสือ สามีจัดการขายขาดให้แก่ผู้อื่นไป โดยสามีใช้กลฉ้อฉล ดังนี้ เมื่อที่ดินนั้นกลับตกมาเป็นของสามีอีก และสามีภริยามิได้เจตนาหย่ากันจริง สามีจะเอาที่ดินนั้นไว้เป็นของตนไม่ได้
ภริยามีเจตนาจะขายฝากที่ดินแก่ผู้อื่น แต่เนื่องจากไม่เข้าใจในกิจธุระเช่นนี้ และไม่รู้หนังสือ สามีจัดการขายขาดให้แก่ผู้อื่นไป โดยสามีใช้กลฉ้อฉล ดังนี้ เมื่อที่ดินนั้นกลับตกมาเป็นของสามีอีก และสามีภริยามิได้เจตนาหย่ากันจริง สามีจะเอาที่ดินนั้นไว้เป็นของตนไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 406/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ที่ดินและอายุความฟ้องขับไล่: การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยการซื้อขายและการนับอายุความ
โจทก์เป็นผู้ได้กรรมสิทธิที่บ้านที่สวนโดยการซื้อขายแม้จะมีผู้อื่นครอบครองที่นั้นอยู่ก่อน แต่ถ้านับจากวันโจทก์ได้กรรมสิทธิ ถึงวันโจทก์ฟ้องขับไล่ผู้ครอบครองยังไม่ถึง 10 ปีแล้ว คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความฟ้องขับไล่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 600/2488
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิภริยาฟ้องเรียกคืนสินเดิม สามีจำหน่ายโดยไม่สุจริต/ไม่ได้รับความยินยอม และผลกระทบต่อบุคคลภายนอก
การที่สามีละทิ้งภริยาไปได้กับหญิงอื่น หาทำให้ขาดจากการเป็นสามีภริยาไม่
สามีเอาสินเดิมของภริยาไปขายโดยไม่ได้รับความยินยอมของภริยานั้น ถ้าผู้ซื้อไม่รู้ว่าเป็นสินเดิมของภริยาก็ได้ทรัพย์เป็นสิทธิ ถ้ารู้ก็เป็นกรณีที่ซื้อโดยไม่สุจริต ภริยาฟ้องเรียกคืนได้
ภริยามีอำนาจฟ้องเรียกสินเดิมซึ่งสามีโอนขายโดยไมได้รับความยินยอมจากตนโดยไม่ต้องรับอนุญาตจากสามี
สามีเอาสินเดิมของภริยาไปขายโดยไม่ได้รับความยินยอมของภริยานั้น ถ้าผู้ซื้อไม่รู้ว่าเป็นสินเดิมของภริยาก็ได้ทรัพย์เป็นสิทธิ ถ้ารู้ก็เป็นกรณีที่ซื้อโดยไม่สุจริต ภริยาฟ้องเรียกคืนได้
ภริยามีอำนาจฟ้องเรียกสินเดิมซึ่งสามีโอนขายโดยไมได้รับความยินยอมจากตนโดยไม่ต้องรับอนุญาตจากสามี