พบผลลัพธ์ทั้งหมด 571 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 46/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบยานพาหนะที่ใช้ในการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ กรณีมีไม้แปรรูปไว้โดยไม่ได้รับอนุญาต
จำเลยมีไม้หวงห้ามแปรรูปโดยไม่ได้รับอนุญาตและจำเลยใช้รถยวนต์บรรทุกไม้นั้นมาจนถูกจับ รถยนต์ที่ใช้บรรทุกไม้นั้นจึงเป็นยานพาหนะที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิด คือ การมีไม้แปรรูปไว้ อันต้องริบตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 74 ทวิ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 46/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบรถยนต์ที่ใช้บรรทุกไม้แปรรูปผิดกฎหมายตาม พ.ร.บ.ป่าไม้
มีไม้หวงห้ามแปรรูปโดยไม่รับอนุญาต และใช้รถยนต์บรรทุกไม้นั้นมาจนถูกจับ รถยนต์ที่ใช้บรรทุกไม้นั้นย่อมเป็นยานพาหนะที่ได้ใช้ในการกระทำความผิด คือ การมีไม้แปรรูปไว้ ต้องริบตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 74ทวิ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 29/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเสียภาษีบุคคลธรรมดาจากหุ้นส่วน/ผู้ถือหุ้นนิติบุคคล: ค่าใช้จ่ายไม่สามารถหักลดหย่อนในนามนิติบุคคล
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีผู้ถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนอยู่เกินกว่าร้อยละ 50 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 75 ที่บัญญัติว่าให้เสียภาษีในส่วน 2 ว่าด้วยการเก็บภาษีจากบุคคลธรรมดานั้นหมายความว่าบุคคลธรรมดาผู้ถือหุ้น หรือผู้เป็นหุ้นส่วน ในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นๆ จะต้องไปเสียภาษีในส่วน 2 หาได้หมายความว่าให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นๆ ไปเสียภาษีในส่วน 2 ไม่จึงไม่มีอะไรที่จะหักค่าใช้จ่ายให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ตามมาตรา 47(1)(ก) ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายของบุคคลธรรมดา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 29/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเสียภาษีของบริษัทเมื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่เสียภาษีในนามบุคคลธรรมดา สิทธิในการหักค่าใช้จ่ายของบริษัท
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีผู้ถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนอยู่เกินกว่าร้อยละ 50 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดตามประมวลรัษฎากรมาตรา 75 ที่บัญญัติว่าให้เสียภาษีในส่วน 2 ว่าด้วยการเก็บภาษีจากบุคคลธรรมดานั้น หมายความว่าบุคคลธรรมดาผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น ๆ จะต้องไปเสียภาษีในส่วน 2 หาได้หมายความว่าให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น ๆ ไปเสียภาษีตามส่วน 2 ไม่ จึงไม่มีอะไรที่จะหักค่าใช้จ่ายให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามมาตรา 47 (1) (ก) ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายของบุคคลธรรมดา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1973/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่อนุญาตให้สืบพยานพิสูจน์พยานจำเลยในคดีอาญา: ปัญหาข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามอุทธรณ์ฎีกา
ในคดีอาญา เมื่อโจทก์สืบพยานหมดแล้วอยู่ระหว่างสืบพยานจำเลย โจทก์ยื่นคำร้องขอพิสูจน์พยานจำเลยที่เบิกความไปแล้วโดยอ้างประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 120 และ 88 วรรคท้าย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลชั้นต้นสั่งชี้ขาดในปัญหาที่โจทก์จะพิสูจน์พยานจำเลยว่าเป็นข้อเท็จจริงที่ห่างไกลต่อประเด็นแห่งคดีจึงไม่อนุญาต การที่ศาลชั้นต้นสั่งเช่นนี้ ก็โดยพิจารณาจากข้อเท็จจริงมิใช่เป็นการพิจารณาในข้อกฎหมาย เมื่อเป็นคดีที่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ถึงหากโจทก์จะขอสืบพยานพิสูจน์พยานจำเลยได้ โจทก์ก็อุทธรณ์ฎีกาเพื่อขอสืบพยานพิสูจน์พยานจำเลยไม่ได้อยู่นั่นเอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1973/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่อนุญาตให้สืบพยานพิสูจน์พยานจำเลยในคดีอาญา: การอุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ในคดีอาญา เมื่อโจทก์สืบพยานหมดแล้ว อยู่ระหว่างสืบพยานจำเลย โจทก์ยื่นคำร้องขอพิสูจน์พยานจำเลยที่เบิกความไปแล้วโดยอ้างประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 120 และ 88 วรรคท้าย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลชั้นต้นสั่งชี้ขาดในปัญหาที่โจทก์จะพิสูจน์พยานจำเลยว่าเป็นข้อเท็จจริงที่ห่างไกลต่อประเด็นแห่งคดีจึงไม่อนุญาต การที่ศาลชั้นต้นสั่งเช่นนี้ ก็โดยพิจารณาจากข้อเท็จจริงมิใช่เป็นการพิจารณาในข้อกฎหมาย เมื่อเป็นคดีที่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ถึงหากโจทก์จะขอสืบพยานพิสูจน์พยานจำเลยได้ โจทก์ก็อุทธรณ์ฎีกา เพื่อขอสืบพยานพิสูจน์พยานจำเลยไม่ได้อยู่นั่นเอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1913/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาอยู่กินฉันสามีภริยาที่เป็นโมฆะเนื่องจากขัดต่อศีลธรรม และสิทธิเรียกร้องทรัพย์สินคืน
ชายมีภริยาอยู่แล้วและยังอยู่กินด้วยกัน ถ้าตกลงกับหญิงอื่นดีกว่าจะอยู่กินเป็นสามีภริยากัน ข้อตกลงดังนี้มีวัตถุประสงค์ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน ย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 แม้หญิงนั้นจะมิได้ปฏิบัติตามข้อตกลง ก็ไม่มีนิติสัมพันธ์ที่จะต้องรับผิดต่อชายนั้น
ถ้าหญิงนั้นเรียกร้องเอาเงินทองเพื่อการที่ตกลงยอมอยู่กินเป็นภริยา และชายนั้นก็ส่งมอบเงินทองให้ตามที่ตกลงกัน การส่งมอบนั้นย่อมเป็นการกระทำเพื่อชำระหนี้ด้วยวัตถุประสงค์ซึ่งฝ่าฝืนศีลธรรมอันดี ถ้าหญิงนั้นไม่ยอมอยู่กินเป็นภริยาด้วย ชายนั้นก็ไม่มีสิทธิเรียกทรัพย์สินคืน
ถ้าหญิงนั้นเรียกร้องเอาเงินทองเพื่อการที่ตกลงยอมอยู่กินเป็นภริยา และชายนั้นก็ส่งมอบเงินทองให้ตามที่ตกลงกัน การส่งมอบนั้นย่อมเป็นการกระทำเพื่อชำระหนี้ด้วยวัตถุประสงค์ซึ่งฝ่าฝืนศีลธรรมอันดี ถ้าหญิงนั้นไม่ยอมอยู่กินเป็นภริยาด้วย ชายนั้นก็ไม่มีสิทธิเรียกทรัพย์สินคืน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1913/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาอยู่กินฉันสามีภริยาขัดศีลธรรม เป็นโมฆะ แม้จะมีการส่งมอบทรัพย์สินก็ไม่มีสิทธิเรียกคืน
ชายมีภริยาอยู่แล้วและยังอยู่กินด้วยกัน ถ้าตกลงกับหญิงอื่นอีกว่าจะอยู่กินเป็นสามีภริยากัน ข้อตกลงดังนี้มีวัตถุประสงค์ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน ย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 แม้หญิงนั้นจะมิได้ปฏิบัติตามข้อลง ก็ไม่มีนิติสัมพันธ์ที่จะต้องรับผิดต่อชายนั้น
ถ้าหญิงนั้นเรียกร้องเอาเงินทองเพื่อการที่ตกลงยอมอยู่กินเป็นภริยา และชายนั้นก็ส่งมอบเงินทองให้ตามที่ตกลงกัน การส่งมอบนั้นย่อมเป็นการกระทำเพื่อชำระหนี้ด้วยวัตถุประสงค์ซึ่งฝ่าฝืนศีลธรรมอันดี ถ้าหญิงนั้นไม่ยอมอยู่กินเป็นภริยาด้วย ชายนั้นก็ไม่มีสิทธิเรียกทรัพย์สินคืน
ถ้าหญิงนั้นเรียกร้องเอาเงินทองเพื่อการที่ตกลงยอมอยู่กินเป็นภริยา และชายนั้นก็ส่งมอบเงินทองให้ตามที่ตกลงกัน การส่งมอบนั้นย่อมเป็นการกระทำเพื่อชำระหนี้ด้วยวัตถุประสงค์ซึ่งฝ่าฝืนศีลธรรมอันดี ถ้าหญิงนั้นไม่ยอมอยู่กินเป็นภริยาด้วย ชายนั้นก็ไม่มีสิทธิเรียกทรัพย์สินคืน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1848/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเรียกเงินจากสัญญา TRUST RECEIPT: พิจารณาจากการเรียกค่าขายสินค้า ไม่ใช่เงินทดรอง
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามข้อตกลงในสัญญาใบรับสินค้าเชื่อ(TRUSTRECEIPT) ซึ่งโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยไปจัดการขายสินค้า และนำเงินมาชำระให้โจทก์ตามที่กำหนดกันไว้ กรณีเช่นนี้ เป็นการเรียกเงินค่าขายของ ไม่ใช่เรียกเอาค่าที่ได้ออกเงินทดรองไป ตามมาตรา 165(1) อายุความฟ้องร้องจึงมีกำหนด 10 ปี ตามมาตรา 164
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1848/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญา Trust Receipt: อายุความฟ้องเรียกเงินค่าขายสินค้า 10 ปี มิใช่เงินทดรอง
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามข้อตกลงในสัญญาใบรับสินค้าเชื่อ (Trust receipt) ซึ่งโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยไปจัดการขายสินค้าและนำเงินมาชำระให้โจทก์ตามที่กำหนดกันไว้ สัญญาเช่นนี้เป็นการเรียกเงินค่าขายของ มิใช่เป็นการเรียกเงินที่โจทก์ออกทดรองไป อายุความฟ้องร้องจึงมีกำหนด 10 ปี