พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,154 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 242/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ไม้ผิดกฎหมาย: สัญญาซื้อขายไม่สมบูรณ์ และไม้ต้องถูกริบ แม้ผู้ซื้ออ้างสุจริต
จำเลยทำสัญญาซื้อขายไม้สักตายแห้งขอนนอนกับกรมป่าไม้. แต่กลับไปทำการลักตัดไม้สักสดออกจากป่าโดยมิได้รับอนุญาตอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้. ไม้สักที่จำเลยลักตัดจึงเป็นไม้ที่ได้มาโดยผิดกฎหมาย. และเป็นของที่ต้องริบตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ.2484 มาตรา 74.
ผู้ร้องรับซื้อไม้จากจำเลยซึ่งเป็นพ่อค้าไม้ โดยมีพฤติการณ์ที่ยังฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องสุจริต. ผู้ร้องจะยกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1329,1332 ขึ้นมาอ้างเพื่อยึดถือไม้ไว้หาได้ไม่.
เมื่อวัตถุแห่งหนี้ของสัญญาซื้อขายเป็นของผิดกฎหมาย.สัญญาซื้อขายก็ไม่สมบูรณ์.
ผู้ร้องรับซื้อไม้จากจำเลยซึ่งเป็นพ่อค้าไม้ โดยมีพฤติการณ์ที่ยังฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องสุจริต. ผู้ร้องจะยกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1329,1332 ขึ้นมาอ้างเพื่อยึดถือไม้ไว้หาได้ไม่.
เมื่อวัตถุแห่งหนี้ของสัญญาซื้อขายเป็นของผิดกฎหมาย.สัญญาซื้อขายก็ไม่สมบูรณ์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 242/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ไม้ผิดกฎหมาย: สัญญาซื้อขายไม่สมบูรณ์ แม้ผู้ซื้ออ้างสุจริต หากมีพฤติการณ์ส่อปกปิด
จำเลยทำสัญญาซื้อขายไม้สักตายแห้งขอนนอนกับกรมป่าไม้ แต่กลับไปทำการลักตัดไม้สดออกจากป่าโดยมิได้รับอนุญาต อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ ไม้สักที่จำเลยลักตัดจึงเป็นไม้ที่ได้มาโดยผิดกฎหมาย และเป็นของที่ต้องริบตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 74
ผู้ร้องรับซื้อไม้จากจำเลยซึ่งเป็นพ่อค้าไม้ โดยมีพฤติการณ์ที่ยังฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องสุจริต ผู้ร้องจะยกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1329, 1332 ขึ้นมาอ้างเพื่อยึดถือไม้ไว้หาได้ไม่
เมื่อวัตถุแห่งหนี้ของสัญญาซื้อขายเป็นของผิดกฎหมาย สัญญาซื้อขายก็ไม่สมบูรณ์
ผู้ร้องรับซื้อไม้จากจำเลยซึ่งเป็นพ่อค้าไม้ โดยมีพฤติการณ์ที่ยังฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องสุจริต ผู้ร้องจะยกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1329, 1332 ขึ้นมาอ้างเพื่อยึดถือไม้ไว้หาได้ไม่
เมื่อวัตถุแห่งหนี้ของสัญญาซื้อขายเป็นของผิดกฎหมาย สัญญาซื้อขายก็ไม่สมบูรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 197/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาความผิดฐานทำร้ายร่างกาย: อาวุธและลักษณะการกระทำมีผลต่อการตัดสิน
จำเลยใช้มีดพับซึ่งมีใบมีดยาว 3 นิ้วฟุตแทงผู้ตายเพียงหนึ่งทีแล้วก็วิ่งหนีไปเช่นนี้. จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290. ไม่ผิดตามมาตรา 288.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 197/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาความผิดฐานทำร้ายร่างกาย: อาวุธร้ายแรง vs. อาวุธทั่วไป และพฤติการณ์การกระทำ
จำเลยใช้มีดพับซึ่งมีใบมีดยาว 3 นิ้วฟุตแทงผู้ตายเพียงหนึ่งทีแล้วก็วิ่งหนีไปเช่นนี้ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 ไม่ผิดตามมาตรา 288
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 197/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำแนกความผิดฐานทำร้ายร่างกาย: อาวุธร้ายแรง vs. ไม่ร้ายแรง และเจตนาในการกระทำ
จำเลยใช้มีดพับซึ่งมีใบมีดยาว 3 นิ้ว ฟุตแทงผู้ตายเพียงหนึ่งทีแล้วก็วิ่งหนีไป เช่นนี้ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 ไม่ผิดตามมาตรา 288
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 145/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่เปลี่ยนแปลงวิธีการบังคับคดี คำพิพากษาฉบับหลังสุดเป็นหลัก
ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวิธีการบังคับคดีโดยระบุว่าให้รังวัดแบ่งที่พิพาทขายให้โจทก์ เนื้อที่ 2 งานซึ่งหมายความว่า ที่ดิน 2 งาน เมื่อคิดหน้าที่ดินที่ถูกตัดถนนแล้วยังเหลือเท่าใดก็โอนให้โจทก์ไปเท่านั้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่กล่าวนี้ย่อมเป็นที่สุดและต้องรังวัดที่พิพาทเป็นจำนวนเนื้อที่ 2 งาน โดยรวมเนื้อที่ที่ถูกกันไว้เป็นถนนเข้าด้วย เหลือเท่าใดจึงโอนให้โจทก์ไปเท่านั้น ตามที่โจทก์แถลงไว้ต่อศาลดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งแจ้งไปยังเจ้าพนักงานที่ดินว่าการแบ่งแยกโฉนดพิพาทออกให้มีเนื้อที่ 2 งาน รวมทั้งเนื้อที่ที่ถูกเวนคืน 63 ตารางวาด้วย จึงเป็นการถูกต้องตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวโจทก์จะมาร้องใหม่อีกขอให้รังวัดที่พิพาทออกเป็น 263 ตารางวา แล้วกันส่วนที่ถูกเวนคืน 63 ตารางวาออกนั้น ไม่อาจทำได้เพราะนอกจากจะขัดกับคำแถลงของโจทก์เองแล้ว ศาลฎีกายังได้พิพากษาคดีถึงที่สุดแล้วอีกด้วย
เมื่อการบังคับคดีมีการเปลี่ยนแปลงตลอดมา ก็จำต้องถือคำพิพากษาฉบับหลังที่สุดเป็นหลักดำเนินการบังคับคดีต่อไป
เมื่อการบังคับคดีมีการเปลี่ยนแปลงตลอดมา ก็จำต้องถือคำพิพากษาฉบับหลังที่สุดเป็นหลักดำเนินการบังคับคดีต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 145/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่เปลี่ยนแปลงวิธีการบังคับคดี โดยให้ถือคำพิพากษาฉบับหลังสุดเป็นหลัก
ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวิธีการบังคับคดี โดยระบุว่าให้รังวัดแบ่งที่พิพาทขายให้โจทก์ เนื้อที่ 2 งาน ซึ่งหมายความว่า ที่ดิน 2 งาน เมื่อคิดหน้าที่ดินที่ถูกตัดถนนแล้วยังเหลือเท่าใดก็โอนให้โจทก์ไปเท่านั้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่กล่าวนี้ย่อมเป็นที่สุด และต้องรังวัดที่พิพาทเป็นจำนวนเนื้อที่ 2 งานโดยรวมเนื้อที่ที่ถูกกันไว้เป็นถนนเข้าด้วย เหลือเท่าใดจึงโอนให้โจทก์ไปเท่านั้น ตามที่โจทก์แถลงไว้ต่อศาล ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งแจ้งไปยังเจ้าพนักงานที่ดินว่า การแบ่งแยกโฉนดพิพาทออกให้มีเนื้อที่ 2 งาน รวมทั้งเนื้อที่ที่ถูกเวนคืน 63 ตารางวาด้วย จึงเป็นการถูกต้องตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าว โจทก์จะมาร้องใหม่อีกขอให้รังวัดที่พิพาทออกเป็น 263 ตารางวา แล้วกันส่วนที่ถูกเวนคืน 63 ตารางวาออกนั้น ไม่อาจทำได้ เพราะนอกจากจะขัดกับคำแถลงของโจทก์เองแล้ว ศาลฎีกายังได้พิพากษาคดีถึงที่สุดแล้วอีกด้วย
เมื่อการบังคับคดีมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ก็จำต้องถือคำพิพากษาฉบับหลังที่สุดเป็นหลักดำเนินการบังคับคดีต่อไป
เมื่อการบังคับคดีมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ก็จำต้องถือคำพิพากษาฉบับหลังที่สุดเป็นหลักดำเนินการบังคับคดีต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 145/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกา โดยการรังวัดที่ดินตามเนื้อที่คงเหลือหลังตัดถนนออก และการเปลี่ยนแปลงวิธีการบังคับคดี
ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวิธีการบังคับคดี. โดยระบุว่าให้รังวัดแบ่งที่พิพาทขายให้โจทก์ เนื้อที่2 งาน. ซึ่งหมายความว่า ที่ดิน 2 งาน เมื่อคิดหน้าที่ดินที่ถูกตัดถนนแล้วยังเหลือเท่าใดก็โอนให้โจทก์ไปเท่านั้น. คำพิพากษาศาลฎีกาที่กล่าวนี้ย่อมเป็นที่สุด.และต้องรังวัดที่พิพาทเป็นจำนวนเนื้อที่ 2 งาน โดยรวมเนื้อที่ที่ถูกกันไว้เป็นถนนเข้าด้วย. เหลือเท่าใดจึงโอนให้โจทก์ไปเท่านั้น ตามที่โจทก์แถลงไว้ต่อศาล.ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งแจ้งไปยังเจ้าพนักงานที่ดินว่า. การแบ่งแยกโฉนดพิพาทออกให้มีเนื้อที่ 2 งาน รวมทั้งเนื้อที่ที่ถูกเวนคืน 63 ตารางวาด้วย จึงเป็นการถูกต้องตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าว. โจทก์จะมาร้องใหม่อีกขอให้รังวัดที่พิพาทออกเป็น 263 ตารางวา แล้วกันส่วนที่ถูกเวนคืน 63 ตารางวาออกนั้น ไม่อาจทำได้. เพราะนอกจากจะขัดกับคำแถลงของโจทก์เองแล้ว ศาลฎีกายังได้พิพากษาคดีถึงที่สุดแล้วอีกด้วย.
เมื่อการบังคับคดีมีการเปลี่ยนแปลงตลอดมา ก็จำต้องถือคำพิพากษาฉบับหลังที่สุดเป็นหลักดำเนินการบังคับคดีต่อไป.
เมื่อการบังคับคดีมีการเปลี่ยนแปลงตลอดมา ก็จำต้องถือคำพิพากษาฉบับหลังที่สุดเป็นหลักดำเนินการบังคับคดีต่อไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 126/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดุลพินิจศาลในการอนุญาตให้ถอนฟ้องหลังยื่นคำให้การ แม้จำเลยคัดค้าน
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 175 ที่บัญญัติในเรื่องโจทก์ขอถอนคำฟ้องภายหลังที่จำเลยยื่นคำให้การแล้วนั้น. คงมีข้อห้ามไม่ให้ศาลอนุญาตโดยมิฟังจำเลยหรือผู้ร้องสอดก่อนเท่านั้น. หาได้มีข้อห้ามว่า ถ้าจำเลยคัดค้านแล้วศาลก็อนุญาตให้ถอนฟ้องไม่ได้. ด้วยเหตุนี้ แม้จำเลยจะคัดค้าน ศาลย่อมสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนคำฟ้องได้. เพราะเป็นดุลพินิจของศาลที่จะมีคำสั่งตามที่เห็นสมควร.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 126/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจดุลพินิจศาลในการอนุญาตให้ถอนฟ้องหลังจำเลยให้การ แม้จำเลยคัดค้าน
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 175 ที่บัญญัติในเรื่องโจทก์ขอถอนคำฟ้องภายหลังที่จำเลยยื่นคำให้การแล้วนั้น คงมีข้อห้ามไม่ให้ศาลอนุญาตโดยมิฟังจำเลยหรือผู้ร้องสอดก่อนเท่านั้นหาได้มีข้อห้ามว่า ถ้าจำเลยคัดค้านแล้วศาลก็อนุญาตให้ถอนฟ้องไม่ได้ด้วยเหตุนี้ แม้จำเลยจะคัดค้าน ศาลย่อมสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนคำฟ้องได้เพราะเป็นดุลพินิจของศาลที่จะมีคำสั่งตามที่เห็นสมควร