คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อรุณ ตินทุกะสิริ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 205 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 250/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดำเนินการฟ้องคดีโดยไม่ชำระค่าธรรมเนียมศาล ส่งผลให้คดีถึงที่สุดและศาลไม่รับอุทธรณ์
การที่ศาลไม่อนุญาตให้โจทก์ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ และโจทก์อุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์สั่งยืนและว่าถ้าจะอุทธรณ์ให้วางเงินค่าธรรมเนียมภายใน 7 วันแต่โจทก์ไม่วางเงินค่าธรรมเนียม กลับฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับเพราะคำสั่งศาลอุทธรณ์ถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 โจทก์อุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาสั่งว่าคำสั่งศาลอุทธรณ์ถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156โจทก์จึงกลับมาร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้รับฟ้องอุทธรณ์อีกศาลชั้นต้นให้ยกคำร้อง โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนดังนี้กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา236 คำสั่งศาลอุทธรณ์เป็นที่สุด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 250/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดำเนินคดีโดยคนอนาถาและผลของการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลเกี่ยวกับการวางเงินค่าธรรมเนียม
การที่ศาลไม่อนุญาตให้โจทก์ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ และโจทก์อุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์สั่งยืน และว่าถ้าจะอุทธรณ์ให้วางเงินค่าธรรมเนียมภายใน 7 วัน แต่โจทก์ไม่วางเงินค่าธรรมเนียม กลับฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับเพราะคำสั่งศาลอุทธรณ์ถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 156 โจทก์อุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาสั่งว่าคำสั่งศาลอุทธรณ์ถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 โจทก์จึงกลับมาร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้รับฟ้องอุทธรณ์อีก ศาลชั้นต้นให้ยกคำร้อง โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ดังนี้ กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 คำสั่งศาลอุทธรณ์เป็นที่สุด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 249/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่ผู้ค้ำประกันเมื่อคดีถึงที่สุด แม้มีการอุทธรณ์คำสั่ง
การที่ศาลสั่งไม่รับฎีกาและผู้ฎีกาได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งโดยหาผู้ค้ำประกันมาทำสัญญาค้ำประกันค่าฤชาธรรมเนียมและเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 นั้น เมื่อศาลฎีกาสั่งยกคำร้องไม่รับฎีกาคดีที่โจทก์ฟ้องก็ถึงที่สุดตั้งแต่วันที่ได้อ่านคำสั่งนั้น ผู้ค้ำประกันจึงต้องปฏิบัติตามสัญญาค้ำประกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 249/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่ผู้ค้ำประกันเมื่อคดีถึงที่สุดหลังศาลฎีกายกคำร้องไม่รับฎีกา
การที่ศาลสั่งไม่รับฎีกา และผู้ฎีกาได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งโดยหาผู้ค้ำประกันมาทำสัญญาค้ำประกันค่าฤชาธรรมเนียมและเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 นั้น เมื่อศาลฎีกาสั่งยกคำร้องไม่รับฎีกา คดีที่โจทก์ฟ้องก็ถึงที่สุดตั้งแต่วันที่ได้อ่านคำสั่งนั้น ผู้ค้ำประกันจึงต้องปฏิบัติตามสัญญาค้ำประกัน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 244/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าต้องปิดแสตมป์ตามกฎหมาย และห้ามเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเรื่องระยะเวลาเช่าที่ทำไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
สัญญาเช่าที่เป็นคู่ฉบับต้องปิดแสตมป์ตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ข้อ 23 ในประมวลรัษฎากร มิฉะนั้นต้องห้ามตามประมวลรัษฎากรมาตรา 118 มิให้รับฟัง
ปัญหาที่ว่า เอกสารมิได้ปิดแสตมป์ให้ครบถ้วนตามประมวลรัษฎากรนั้น แม้คู่ความมิได้โต้แย้งไว้ในศาลชั้นต้นก็อาจโต้แย้งในชั้นอุทธรณ์ฎีกาได้ เพราะเป็นหน้าที่ของศาลจะต้องวินิจฉัยและรับฟังให้เป็นไปตามบทกฎหมายและคู่ความไม่อาจทราบล่วงหน้าว่าศาลจะวินิจฉัยให้ผิดบทกฎหมายอย่างไรหรือไม่
สัญญาเช่ามีข้อความกำหนดเวลาเช่าไว้ 1 ปี คู่ความจะนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขกำหนดเวลานี้มิได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 244/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าต้องปิดแสตมป์ตามกฎหมาย และข้อตกลงเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญาเช่าต้องเป็นลายลักษณ์อักษร
สัญญาเช่าที่เป็นคู่ฉบับต้องปิดแสตมป์ตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ข้อ 23 ในประมวลรัษฎากร มิฉะนั้นต้องห้ามตามประมวลรัษฎากรมาตรา 118 มิให้รับฟัง
ปัญหาที่ว่า เอกสารมิได้ปิดแสตมป์ให้ครบถ้วนตามประมวลรัษฎากรนั้น แม้คู่ความมิได้โต้แย้งไว้ในศาลชั้นต้น ก็อาจโต้แย้งในชั้นอุทธรณ์ฎีกาได้ เพราะเป็นหน้าที่ของศาลจะต้องวินิจฉัยและรับฟังให้เป็นไปตามบทกฎหมาย และคู่ความไม่อาจทราบล่วงหน้าว่าศาลจะวินิจฉัยให้ผิดบทกฎหมายอย่างไรหรือไม่
สัญญาเช่ามีข้อความกำหนดเวลาเช่าไว้ 1 ปี คู่ความจะนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขกำหนดเวลานี้มิได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 224/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำฐานเบิกความเท็จ-แจ้งความเท็จ: กรรมเดียววาระเดียว สิทธิฟ้องระงับตามกฎหมาย
จำเลยแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจสายตรวจระบุว่า โจทก์ลักทรัพย์ของจำเลย เป็นเหตุให้โจทก์ถูกอัยการฟ้องคดีอาญา ศาลยกฟ้องเพราะจำเลยซึ่งเป็นเจ้าทรัพย์เบิกความว่าไม่ได้ระบุใครเป็นคนร้าย คดีถึงที่สุด อัยการจึงฟ้องหาว่าจำเลยเบิกความเท็จโดยความจริงจำเลยแจ้งระบุชื่อโจทก์เป็นคนร้าย จำเลยรับสารภาพ ศาลพิพากษาลงโทษ คดีถึงที่สุด โจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้หาว่าจำเลยแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจสายตรวจดังกล่าวข้างต้นเป็นเท็จ และเบิกความในคดีที่โจทก์ถูกฟ้องว่าโจทก์เป็นคนร้ายลักทรัพย์เป็นเท็จ ดังนี้ ข้อหาฐานเบิกความเท็จสิทธินำคดีมาฟ้องระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(4) แม้ฟ้องจะกล่าวหาว่าจำเลยเบิกความเท็จเป็นคนละตอนกับคดีที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้อง แต่เป็นกรรมเดียววาระเดียว เป็นการกระทำอันเดียวกัน ตามหลักกฎหมายทั่วไปพึงฟ้องร้องได้ครั้งเดียว ส่วนข้อหาแจ้งความเท็จยังมิได้มีการฟ้องมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดแต่ประการใด แม้ศาลพิพากษาว่าจำเลยเบิกความเท็จแล้ว ถ้อยคำที่จำเลยแจ้งความอาจไม่เป็นความจริงก็ได้ และศาลก็พิพากษาว่าเบิกความเท็จในข้อหาอื่น ไม่ใช่ในข้อว่าโจทก์เป็นคนร้าย ตามรูปคดีและที่โจทก์นำสืบ เห็นว่า คดีของโจทก์ฐานแจ้งความเท็จมีมูล..

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 224/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องซ้ำในความผิดเบิกความเท็จและแจ้งความเท็จ หลักการระงับสิทธิการฟ้องคดีซ้ำ และการพิจารณาข้อหาแจ้งความเท็จ
จำเลยแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจสายตรวจระบุว่าโจทก์ลักทรัพย์ของจำเลย เป็นเหตุให้โจทก์ถูกอัยการฟ้องคดีอาญา
ศาลยกฟ้องเพราะจำเลยซึ่งเป็นเจ้าทรัพย์เบิกความว่าไม่ได้ระบุใครเป็นคนร้าย คดีถึงที่สุด อัยการจึงฟ้องหาว่าจำเลยเบิกความเท็จโดยความจริงจำเลยแจ้งระบุชื่อโจทก์เป็นคนร้าย จำเลยรับสารภาพ ศาลพิพากษาลงโทษคดีถึงที่สุดโจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ หาว่าจำเลยแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจสายตรวจดังกล่าวข้างต้นเป็นเท็จและเบิกความในคดีที่โจทก์ถูกฟ้องว่าโจทก์เป็นคนร้ายลักทรัพย์เป็นเท็จดังนี้ ข้อหาฐานเบิกความเท็จสิทธินำคดีมาฟ้องระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) แม้ฟ้องจะกล่าวหาว่าจำเลยเบิกความเท็จเป็นคนละตอนกับคดีที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้อง แต่เป็นกรรมเดียววาระเดียว เป็นการกระทำอันเดียวกันตามหลักกฎหมายทั่วไปพึงฟ้องร้องได้ครั้งเดียวส่วนข้อหาแจ้งความเท็จยังมิได้มีการฟ้องมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดแต่ประการใดแม้ศาลพิพากษาว่าจำเลยเบิกความเท็จแล้วถ้อยคำที่จำเลยแจ้งความอาจไม่เป็นความจริงก็ได้ และศาลก็พิพากษาว่าเบิกความเท็จในข้อหาอื่น ไม่ใช่ในข้อว่าโจทก์เป็นคนร้าย ตามรูปคดีและที่โจทก์นำสืบเห็นว่าคดีของโจทก์ฐานแจ้งความเท็จมีมูล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 217/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิภารจำยอมเกิดจากการใช้ทางต่อเนื่อง แม้เจ้าของที่ดินมิได้สละสิทธิ
ทางพิพาทเป็นทางเดิน คนใช้มา 40-50 ปี ก่อนตกมาเป็นของจำเลย และอยู่ในเขตที่ดินของจำเลยเมื่อจำเลยมิได้สละสิทธิ์ครอบครองให้เป็นทางสาธารณะ จึงไม่เป็นทางสาธารณะแต่เป็นทางภารจำยอม ซึ่งแม้จะใช้ได้ในบางฤดูกาล ก็ไม่ทำให้ภารจำยอมสิ้นไป
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยปิดกั้นและทำลายทางสาธารณะซึ่งโจทก์กับราษฎรได้ใช้มากว่า 50 ปี เป็นการบรรยายกล่าวอ้างถึงสิทธิของโจทก์ที่จะเดินผ่านทางพิพาทนี้มาในฟ้องแล้ว แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าไม่ใช่ทางสาธารณะ แต่เป็นทางภารจำยอมศาลก็มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดว่าเป็นทางภารจำยอมได้ ไม่นอกฟ้องนอกประเด็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 217/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทางภารจำยอม: การใช้ทางต่อเนื่องแม้ไม่ตลอดปี ไม่ทำให้ภารจำยอมสิ้นไป ศาลมีอำนาจวินิจฉัยได้แม้ฟ้องอ้างผิด
ทางพิพาทเป็นทางเดิน คนใช้มา 40 - 50 ปี ก่อนตกมาเป็นของจำเลย และอยู่ในเขตที่ดินของจำเลย เมื่อจำเลยมิได้สละสิทธิครอบครองให้เป็นทางสาธารณะจึงไม่เป็นทางสาธารณะ แต่เป็นทางภารจำยอม ซึ่งแม้จะใช้ได้ในบางฤดูกาล ก็ไม่ทำให้ภารจำยอมสิ้นไป
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยปิดกั้นและทำลายทางสาธารณะซึ่งโจทก์กับราษฎรได้ใช้มากว่า 50 ปี เป็นการบรรยายกล่าวอ้างถึงสิทธิของโจทก์ที่จะเดินผ่านทางพิพาทนี้มาในฟ้องแล้ว แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าไม่ใช่ทางสาธารณะ แต่เป็นทางภารจำยอม ศาลก็มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดว่าเป็นทางภารจำยอมได้ ไม่นอกฟ้องนอกประเด็น.
of 21