คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ประถม วิเชียรเนตร

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 163 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1071/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขุดคลองชลประทานในที่ดินส่วนบุคคล: การยินยอมโดยปริยายและการห้ามปิดกั้น
เจ้าหน้าที่ขุดคลองส่งน้ำผ่านที่ดินของจำเลยในเขตโครงการชลประทานโดยราษฎรและจำเลยยินยอมโดยปริยาย จำเลยจะปิดกั้นไม่ได้ เป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติชลประทานหลวง พ.ศ. 2485 มาตรา 20,36 ตรี ฉบับที่ 3 พ.ศ.2507 มาตรา 16

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1022/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การงดสืบพยานโจทก์: ศาลควรอนุญาตเลื่อนได้หากมีเหตุผลสมควร แม้จะมีการเลื่อนหลายนัดแล้ว
ศาลอนุญาตให้เลื่อนการสืบพยานโจทก์ไปตามความจำเป็นของโจทก์บ้างจำเลยบ้างหลายนัด ครั้นต่อมาโจทก์จำเลยแถลงว่าคดีมีทางตกลงกันได้ขอเลื่อนไปนัดพร้อมกันอีกนัดหนึ่ง ศาลสั่งให้เลื่อนไปนัดพร้อมหรือนัดสืบพยานโจทก์ ครั้งถึงวันนัดโจทก์จำเลยมาศาลแถลงว่าตกลงกันไม่ได้ ศาลจึงดำเนินการสืบพยานโจทก์ไปในวันนั้นเพียงโจทก์อ้างตัวเองปากเดียว ส่วนพยานอื่นไม่มา โจทก์ขอเลื่อนไปสืบพยานโจทก์ต่อไปในนัดหน้า ศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนและงดสืบพยานโจทก์ต่อไปเสีย ดังนี้ แม้จะมีการเลื่อนมาหลายนัดแล้วก็ตามศาลก็ได้อนุญาตโดยเห็นพ้องตามความจำเป็นของโจทก์บ้าง จำเลยบ้าง เฉพาะคราวหลังก่อนนัดที่มีการสืบพยานโจทก์ โจทก์จำเลยขอให้นัดพร้อม แต่ศาลสั่งนัดพร้อมหรือนัดสืบพยานโจทก์เป็นสองกรณีซึ่งไม่แน่ว่าจะได้สืบพยานโจทก์หรือไม่ จะถือว่าเป็นความผิดของโจทก์ที่ไม่ขอหมายเรียกหรือไม่นำพยานมาศาลเสียทีเดียวก็ไม่ถนัด และจำเลยก็มิได้คัดค้าน ทั้งในวันนั้นศาลออกนั่งพิจารณาเมื่อเวลา 15.35 น. สืบตัวโจทก์ปากเดียวก็หมดเวลาหรือเกือบหมดเวลาราชการแล้ว ถ้าพยานโจทก์อื่นมาศาลก็คงต้องเลื่อนไปสืบต่อนัดหน้าอยู่นั่นเอง จึงสมควรที่ศาลจะอนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานโจทก์ต่อในนัดหน้าได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1022/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การงดสืบพยานโจทก์: ศาลควรอนุญาตเลื่อนได้หากมีเหตุผลและไม่ทำให้การพิจารณาคดีล่าช้า
ศาลอนุญาตให้เลื่อนการสืบพยานโจทก์ไปตามความจำเป็นของโจทก์บ้างจำเลยบ้างหลายนัดครั้นต่อมาโจทก์จำเลยแถลงว่าคดีมีทางตกลงกันได้ขอเลื่อนไปนัดพร้อมกันอีกนัดหนึ่ง ศาลสั่งให้เลื่อนไปนัดพร้อมหรือนัดสืบพยานโจทก์ ครั้นถึงวันนัดโจทก์จำเลยมาศาลแถลงว่าตกลงกันไม่ได้ ศาลจึงดำเนินการสืบพยานโจทก์ไปในวันนั้นเพียงโจทก์อ้างตัวเองปากเดียว ส่วนพยานอื่นไม่มา โจทก์ขอเลื่อนไปสืบพยานโจทก์ต่อในนัดหน้า ศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนและงดสืบพยานโจทก์ต่อไปเสีย ดังนี้ แม้จะมีการเลื่อนมาหลายนัดแล้วก็ตามศาลก็ได้อนุญาตโดยเห็นพ้องตามความจำเป็นของโจทก์บ้าง จำเลยบ้าง เฉพาะคราวหลังก่อนนัดที่มีการสืบพยานโจทก์ โจทก์จำเลยขอให้นัดพร้อม แต่ศาลสั่งนัดพร้อมหรือนัดสืบพยานโจทก์เป็นสองกรณี ซึ่งไม่แน่ว่าจะได้สืบพยานโจทก์หรือไม่ จะถือว่าเป็นความผิดของโจทก์ที่ไม่ขอหมายเรียกหรือไม่นำพยานมาศาลเสียทีเดียวก็ไม่ถนัด และจำเลยก็มิได้คัดค้าน ทั้งในวันนั้นศาลออกนั่งพิจารณาเมื่อเวลา 15.35 น. สืบตัวโจทก์ปากเดียวก็หมดเวลาหรือเกือบหมดเวลาราชการแล้ว ถ้าพยานโจทก์อื่นมาศาลก็คงต้องเลื่อนไปสืบต่อนัดหน้าอยู่นั่นเอง จึงสมควรที่ศาลจะอนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานโจทก์ต่อในนัดหน้าได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 970/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแสดงเจตนาเป็นตัวแทนเชิดและการรับผิดในหนี้สินจากการซื้อวัสดุก่อสร้าง
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ซื้อไม้และวัสดุก่อสร้างไปจากโจทก์เพื่อใช้ในการก่อสร้างบ้านจัดสรร จำเลยที่ 2 และที่ 3 เคยแจ้งต่อผู้จัดการของโจทก์ว่าเป็นตัวแทนจำเลยที่ 1 ในสถานที่ก่อสร้างมีป้ายโฆษณาว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดสรรบ้านและที่ดินผู้จัดการของโจทก์เคยไปรับเงินค่าวัสดุก่อสร้างที่สำนักงานของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2เคยพาโจทก์ไปพบจำเลยที่ 1 และสมุหบัญชีของจำเลยที่ 1 ผัดหนี้กับโจทก์ จำเลยที่ 2 ที่ 3 เคยพาผู้รับเหมาตกแต่งบ้านจัดสรรแห่งนี้ไปรับเงินที่จำเลยที่ 1 มีการพิมพ์แผ่นใบปลิวโฆษณาระบุชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ร่วมจัดสรรที่ดิน พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวเป็นการแสดงออกต่อโจทก์และบุคคลภายนอกว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกิจการจัดสรรบ้านและที่ดินเอง โดยเชิดจำเลยที่ 2 และที่ 3 ออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 821 จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดในหนี้สินที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซื้อไม้และวัสดุก่อสร้างไปจากโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 928/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่มีสิทธิฟ้องร้องบุกรุกได้
โจทก์ซื้อที่ดินมี ส.ค.1 ซึ่งเป็นที่คูเมืองอยู่ในความดูแลของทางราชการและได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุแล้ว โจทก์เข้าครอบครองโดยกั้นรั้วลวดหนามและเสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมา แล้วจำเลยเข้าไปปลูกห้องแถวในที่ดินของโจทก์โดยทำสัญญาเช่ากับราชพัสดุจังหวัดดังนี้การที่โจทก์ได้เข้าครอบครองที่พิพาทซึ่งเป็นที่คูเมืองอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้นการครอบครองของโจทก์ไม่อาจใช้ยันต่อรัฐได้ ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดฐานบุกรุก (ประชุมใหญ่ครั้งที่5/2520)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 928/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่สมบูรณ์ ไม่มีอำนาจฟ้องฐานบุกรุก
โจทก์ซื้อที่ดินมี ส.ค. 1 ซึ่งเป็นที่คูเมืองอยู่ในความดูแลของทางราชการและได้ขึ้นทะเบียนเป็นราชพัสดุแล้ว โจทก์เข้าครอบครองโดยกั้นรั้วลวดหนามและเสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมา แล้วจำเลยเข้าไปปลูกห้องแถวในที่ดินของโจทก์โดยทำสัญญาเช่ากับราชพัสดุจังหวัดดังนี้ การที่โจทก์ได้เข้าครอบครองที่พิพาทซึ่งเป็นที่คูเมืองอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น การครอบครองของโจทก์ไม่อาจใช้ยันต่อรัฐได้ ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดฐานบุกรุก
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5/2520)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 923/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบเรือยนต์ที่ใช้เป็นพาหนะในการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
เรือยนต์ของกลางที่จำเลย ใช้เป็นพาหนะไปนำเอาเฮโรอีนของกลางบรรจุถุงพลาสติกแล้วห่อด้วยถุงกระดาษอีกชั้นหนึ่งใส่มาในลังเครื่องมือซึ่งจำเลยใช้เป็นที่นั่งขับเรือถือได้ว่าเป็นยานพาหนะที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับเฮโรอีน จึงเป็นของต้องริบตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2465 มาตรา 29 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2504 มาตรา 12

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 740/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับ เพราะเป็นการอุทธรณ์ในดุลพินิจ ศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้นลงโทษจำคุก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ลงโทษจำคุก 1 ปี จำเลยฎีกาขอให้รอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษจำเลยดังนี้ เป็นฎีกาข้อเท็จจริงในดุลพินิจ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 740/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับพิจารณาเรื่องรอการลงโทษ ศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้น จำคุก 1 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ลงโทษจำคุก 1 ปี จำเลยฎีกาขอให้รอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษจำเลย ดังนี้ เป็นฎีกาข้อเท็จจริงในดุลพินิจ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 673/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รถจอดกีดขวาง-ชนท้ายกลางคืน: ไม่ต้องแจ้งเหตุตาม พรบ.จราจร
รถที่จอดอยู่เกือบกึ่งกลางถนนในเวลากลางคืนโดยไม่มีไฟให้เห็น ถูกรถที่ขับมาชนท้าย รถที่จอดและถูกชนมิใช่รถที่ขับอยู่ในทางผู้ขับรถคันนี้ไม่ต้องแจ้งเหตุต่อเจ้าหน้าที่ตาม พระราชบัญญัติจราจรทางบก มาตรา 30 วรรคสอง
of 17