พบผลลัพธ์ทั้งหมด 669 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2364/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์: สิทธิและหน้าที่ของตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์, การโอนหุ้น, สภาพของสังกมะทรัพย์
การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์มิใช่เป็นการซื้อขายหุ้นตามปกติแต่เป็นการซื้อขายในกรณีพิเศษซึ่งมีวัตถุประสงค์ทำการค้าเก็งกำไรจากราคาหุ้นที่ขึ้นลงในตลาดหลักทรัพย์มากกว่าประสงค์ที่จะให้มีการโอนใบหุ้นใส่ชื่อผู้ซื้อเป็นเจ้าของที่แท้จริงจึงไม่จำต้องปฏิบัติตามแบบที่กำหนดไว้ในป.พ.พ.มาตรา1129วรรคสอง โจทก์เป็นตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ให้จำเลยได้ซื้อหุ้นบริษัทร. และหุ้นธนาคารก. ให้ตามคำสั่งของจำเลยแล้วกลับนำหุ้นที่ซื้อตอนหลังในราคาที่ต่ำกว่ามาโอนให้จำเลยแต่ใบหุ้นที่โอนให้นั้นก็เป็นหุ้นบริษัทร. และหุ้นธนาคารก.ในจำนวนเท่ากันกับที่จำเลยสั่งซื้อใบหุ้นดังกล่าวกับใบหุ้นที่โจทก์ซื้อตามคำสั่งของจำเลยคงแตกต่างกันเฉพาะราคาซื้อขายเท่านั้นซึ่งในตลาดหลักทรัพย์ราคาหุ้นย่อมเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเมื่อจำเลยไม่นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่นก็ต้องถือว่าหุ้นบริษัทเดียวกันจำนวนเท่ากันมีมูลค่าให้ผลประโยชน์ตอบแทนอย่างเดียวกันตามปกติและเป็นทรัพย์ที่มีสภาพเช่นเดียวกับสังกมะทรัพย์ตามป.พ.พ.มาตรา102ด้วยใบหุ้นที่โจทก์จะโอนให้จำเลยหาจำเป็นจะต้องเป็นใบหุ้นฉบับเดียวกับที่ซื้อไว้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2329/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นิติกรรมอำพราง: สัญญาขายฝากบังหน้าการกู้ยืมเงิน ศาลพิจารณาจากเจตนาคู่สัญญาและพฤติการณ์
แม้การขายฝากจะทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่เมื่อโจทก์จำเลยมีเจตนาจะผูกพันกันในเรื่องกู้ยืมเงินสัญญาขายฝากที่ทำไว้จึงเป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา118วรรคสองและจะต้องถือว่าสัญญาขายฝากเป็นหลักฐานที่จำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์และมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันเท่านั้น.(ที่มา-เนติฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2329/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นิติกรรมอำพราง: สัญญาขายฝากบังหน้าการกู้ยืมเงิน
แม้การขายฝากจะทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่เมื่อโจทก์จำเลยมีเจตนาจะผูกพันกันในเรื่องกู้ยืมเงินสัญญาขายฝากที่ทำไว้จึงเป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา118วรรคสองและจะต้องถือว่าสัญญาขายฝากเป็นหลักฐานที่จำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์และมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันเท่านั้น.(ที่มา-เนติฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2268/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยายามฆ่าเพื่อหวังข่มขืน ศาลฎีกายืนความผิดฐานพยายามฆ่าและอนาจาร แม้การกระทำต่อเนื่องกันเป็นกรรมเดียว
จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกอดปล้ำและบีบคอโจทก์ร่วมจนหายใจไม่ออกและหมดสติไปหลังจากนั้นจำเลยที่1ได้ถอดเสื้อและกางเกงของตนออกคงเหลือแต่กางเกงในพร้อมกับเลิกเสื้อชั้นนอกของโจทก์ร่วมขึ้นและดึงเสื้อชั้นในลงมองเห็นนมข้างซ้ายกับรูดกางเกงของโจทก์ร่วมไปสุดง่ามขามองเห็นกางเกงในทั้งตัวและขณะที่จำเลยที่1กำลังจับนมโจทก์ร่วมโดยนั่งคร่อมโจทก์ร่วมตรงบริเวณท้องน้อยก็พอดีมีคนมาจำเลยที่1จึงหลบหนีไปดังนี้ลักษณะการกระทำของจำเลยทั้งสองยังไม่อยู่ในวิสัยที่จะกระทำชำเราโจทก์ร่วมได้การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเราแม้จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพก็ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานนี้ไม่ได้จำเลยทั้งสองคงมีความผิดฐานร่วมกันกระทำอนาจารเท่านั้นส่วนบาดแผลที่โจทก์ร่วมได้รับจากการที่ถูกบีบคอนั้นปรากฏตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ว่าโจทก์ร่วมมีโลหิตออกที่ใต้ตาขวาทั้งสองข้างมีรอยแดงที่คอด้านขวายาวประมาณ2นิ้วกว้างประมาณ1/3นิ้วด้านซ้ายยาวประมาณ1นิ้วกว้างประมาณ1/3นิ้วเจ็บคอในเวลากลืนซึ่งแพทย์ผู้ตรวจเบิกความว่าลักษณะบาดแผลเช่นนี้เป็นการถูกบีบคออย่างรุนแรงโลหิตเดินไม่สะดวกทำให้เส้นโลหิตฝอยในตาขวาแตกหากไม่ได้รับความช่วยเหลือทันท่วงทีอาจถึงตายได้และถ้าผู้ถูกบีบสลบไปโอกาสที่จะตายมีได้เสมอจำเลยทั้งสองจึงย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นได้ว่าโจทก์ร่วมอาจถึงแก่ความตายได้จึงเห็นได้ว่าเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่าแต่การกระทำไม่บรรลุผลจำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าโจทก์ร่วมเพื่อความสะดวกในการที่จะกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราแต่การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการกระทำผิดต่อกันในคราวเดียวกันยังมิได้ขาดตอนจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2268/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพยายามฆ่าเพื่อหวังข่มขืน, การกระทำผิดกรรมเดียว, การประเมินหลักฐานการกระทำชำเรา
จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกอดปล้ำและบีบคอโจทก์ร่วมจนหายใจไม่ออกและหมดสติไป หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ได้ถอดเสื้อและกางเกงของตนออกคงเหลือแต่กางเกงใน พร้อมกับเลิกเสื้อชั้นนอกของโจทก์ร่วมขึ้นและดึงเสื้อชั้นในลงมองเห็นนมข้างซ้ายกับรูดกางเกงของโจทก์ร่วมไปสุดง่ามขามองเห็นกางเกงในทั้งตัว และขณะที่จำเลยที่ 1 กำลังจับนมโจทก์ร่วมโดยนั่งคร่อมโจทก์ร่วมตรงบริเวณท้องน้อยก็พอดีมีคนมา จำเลยที่ 1 จึงหลบหนีไป ดังนี้ ลักษณะการกระทำของจำเลยทั้งสองยังไม่อยู่ในวิสัยที่จะกระทำชำเราโจทก์ร่วมได้ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเรา แม้จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพก็ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานนี้ไม่ได้ จำเลยทั้งสองคงมีความผิดฐานร่วมกันกระทำอนาจารเท่านั้น ส่วนบาดแผลที่โจทก์ร่วมได้รับจากการที่ถูกบีบคอนั้นปรากฏตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ว่า โจทก์ร่วมมีโลหิตออกที่ใต้ตาขวาทั้งสองข้าง มีรอยแดงที่คอด้านขวายาวประมาณ 2 นิ้ว กว้างประมาณ 1/3 นิ้ว ด้านซ้ายยาวประมาณ 1 นิ้ว กว้างประมาณ 1/3 นิ้ว เจ็บคอในเวลากลืนซึ่งแพทย์ผู้ตรวจเบิกความว่า ลักษณะบาดแผลเช่นนี้เป็นการถูกบีบคออย่างรุนแรงโลหิตเดินไม่สะดวกทำให้เส้นโลหิตฝอยในตาขวาแตก หากไม่ได้รับความช่วยเหลือทันท่วงทีอาจถึงตายได้ และถ้าผู้ถูกบีบสลบไปโอกาสที่จะตายมีได้เสมอ จำเลยทั้งสองจึงย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นได้ว่าโจทก์ร่วมอาจถึงแก่ความตายได้จึงเห็นได้ว่าเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่า แต่การกระทำไม่บรรลุผล จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าโจทก์ร่วมเพื่อความสะดวกในการที่จะกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา แต่การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการกระทำผิดต่อกันในคราวเดียวกันยังมิได้ขาดตอน จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2175/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเบียดบังทรัพย์ของเจ้าพนักงานและการปรับบทลงโทษ: ศาลฎีกายกข้อกฎหมายที่ศาลล่างปรับบทผิดพลาด
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีคำสั่งกองกำกับการตำรวจภูธรที่จำเลยสังกัดกำหนดให้จำเลยเป็นเจ้าหน้าที่ควบคุมการก่อสร้างซ่อมแซมสถานที่ราชการและมีหน้าที่จำหน่ายแบบแปลนการก่อสร้างเขียนใบเสร็จรับเงินเสนอรองผู้กำกับการตำรวจภูธรต้นสังกัดลงชื่อเป็นผู้รับเงินและนำเงินที่จำหน่ายแบบแปลนการก่อสร้างได้ส่งมอบแก่สมุห์บัญชีกองกำกับการฯเพื่อส่งเป็นรายได้ของแผ่นดินต่อไปจำเลยมิได้นำเงินที่จำหน่ายแบบแปลนการก่อสร้างได้จำนวน7,600บาทส่งเป็นรายได้ของแผ่นดินตามระเบียบจนพนักงานตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบพบและแนะนำให้จำเลยนำเงินจำนวนดังกล่าวส่งคลังจำเลยจึงปฏิบัติตามพฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และเบียดบังเอาทรัพย์ดังกล่าวเป็นของตนโดยทุจริตเป็นผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา147,157,158แต่เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา147ซึ่งเป็นบทเฉพาะของมาตรา157แล้วการกระทำนั้นก็ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา157ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2175/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานละเว้นหน้าที่-เบียดบังทรัพย์: ศาลแก้โทษ ตัดความผิดมาตรา 157
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีคำสั่งกองกำกับการตำรวจภูธรที่จำเลยสังกัดกำหนดให้จำเลยเป็นเจ้าหน้าที่ควบคุมการก่อสร้างซ่อมแซมสถานที่ราชการและมีหน้าที่จำหน่ายแบบแปลนการก่อสร้างเขียนใบเสร็จรับเงินเสนอรองผู้กำกับการตำรวจภูธรต้นสังกัดลงชื่อเป็นผู้รับเงินและนำเงินที่จำหน่ายแบบแปลนการก่อสร้างได้ส่งมอบแก่สมุห์บัญชีกองกำกับการฯเพื่อส่งเป็นรายได้ของแผ่นดินต่อไปจำเลยมิได้นำเงินที่จำหน่ายแบบแปลนการก่อสร้างได้จำนวน7,600บาทส่งเป็นรายได้ของแผ่นดินตามระเบียบจนพนักงานตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบพบและแนะนำให้จำเลยนำเงินจำนวนดังกล่าวส่งคลังจำเลยจึงปฏิบัติตามพฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และเบียดบังเอาทรัพย์ดังกล่าวเป็นของตนโดยทุจริตเป็นผิดตามป.อ.มาตรา147,157,158แต่เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามป.อ.มาตรา147ซึ่งเป็นบทเฉพาะของมาตรา157แล้วการกระทำนั้นก็ไม่เป็นความผิดตามป.อ.มาตรา157ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1973/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้สั่งจ่ายเช็คสองคนร่วมกันรับผิด แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงสถานะทางธุรกิจ หากไม่มีเจตนาฉ้อฉล
เช็คพิพาทมีผู้สั่งจ่ายสองนายลงนามร่วมกันโอนเช็คให้ผู้ทรงเมื่อไม่ปรากฏว่าผู้ทรงรับโอนเช็คโดยคบคิดกันฉ้อฉลกับผู้สั่งจ่ายคนใดคนหนึ่งแล้วผู้สั่งจ่ายทั้งสองก็ต้องรับผิดชดใช้เงินตามเช็คตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 989, 914 ผู้สั่งจ่ายจะยกข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันระหว่างกันเองปฏิเสธความรับผิดไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1973/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้สั่งจ่ายเช็คร่วมกันและการยกเว้นความรับผิดจากการขายหุ้น
เช็คพิพาทมีผู้สั่งจ่ายสองนายลงนามร่วมกันโอนเช็คให้ผู้ทรงเมื่อไม่ปรากฏว่าผู้ทรงรับโอนเช็คโดยคบคิดกันฉ้อฉลกับผู้สั่งจ่ายคนใดคนหนึ่งแล้วผู้สั่งจ่ายทั้งสองก็ต้องรับผิดชดใช้เงินตามเช็คตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา989,914ผู้สั่งจ่ายจะยกข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันระหว่างกันเองปฏิเสธความรับผิดไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1918/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระจำยอมโดยอายุความ: การใช้ทางต่อเนื่องเกิน 10 ปี แม้ไม่มีสัญญาเป็นหนังสือก็มีผลผูกพัน
โจทก์จำเลยได้เข้าครอบครองที่ดินที่ตกลงซื้อร่วมกันเป็นส่วนสัดและทำถนนพิพาทตามที่ตกลงกันก่อนทำหนังสือซื้อขายที่ดินโดยเจ้าของที่ดินอนุญาตและโจทก์ได้ใช้ถนนพิพาทตลอดมาจนถึงวันที่จำเลยทำรั้วปิดกั้นเป็นเวลาเกิน10ปีเมื่อทางพิพาทได้ใช้เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ติดต่อกันเป็นเวลากว่า10ปีแล้วโดยจำเลยมิได้ทักท้วงหรือห้ามปรามทางพิพาทจึงตกเป็นภาระจำยอมซึ่งโจทก์ได้มาโดยอายุความจำเลยไม่มีสิทธิปิดกั้น. การได้ภาระจำยอมมาโดยอายุความมิใช่ได้มาทางนิติกรรมจึงไม่จำต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่.