พบผลลัพธ์ทั้งหมด 206 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3439/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาออกเช็คโดยไม่มีเงินในบัญชีเป็นประเด็นสำคัญคดีเช็ค ไม่ใช่การชำระหนี้บางส่วน
คำเบิกความที่เป็นข้อสำคัญในการพิจารณาคดีว่าโจทก์กระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คหรือไม่ อยู่ที่ว่าโจทก์ออกเช็คโดยมีเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คหรือไม่มิได้ อยู่ที่ว่าเช็คที่จำเลยฟ้องเป็นคดีอาญานั้น มีการชำระหนี้กันบางส่วนตามเช็คนั้นหรือไม่ แม้คำเบิกความของจำเลยที่ว่าซื้อรถแทรกเตอร์จากโจทก์ 1 คัน ราคา 210,000 บาท และได้ชำระด้วยเงินสดให้โจทก์จะเป็นความเท็จ ความจริง เมื่อจำเลยนำเช็คที่โจทก์ออกให้ไปขึ้นเงินไม่ได้ โจทก์จำเลยได้ประนีประนอมยอมความกันโดยโจทก์เอารถแทรกเตอร์ของโจทก์ตีใช้หนี้ให้จำเลยบางส่วนเป็นเงิน 210,000 บาท ดังฟ้อง ก็มิใช่คำเบิกความอันเป็นเท็จที่เป็นข้อสำคัญในคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3349/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยักย้ายทรัพย์มรดก: การเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินที่ออกทับที่ดินผู้อื่น ไม่ถือเป็นการฉ้อฉล
จำเลยซึ่งเป็นทายาทได้ขอเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่มีชื่อเจ้ามรดกโดยอ้างต่อเจ้าพนักงานว่าจำเลยมีสิทธิในที่ดินนั้นและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ออกทับที่ดินของบุคคลอื่นดังนี้ถือไม่ได้ว่าจำเลยยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกเพราะแม้ไม่มีจำเลยหรือผู้ใดร้องขอให้เพิกถอนทางราชการก็ต้องเพิกถอนอยู่แล้วทั้งนี้เนื่องจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทออกทับที่ของบุคคลอื่นจึงไม่ถือว่าจำเลยกระทำการโดยฉ้อฉลอันเป็นการยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดก โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทและค่าขาดประโยชน์ทำนาในที่ดินพิพาททั้งหมดศาลฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และเจ้ามรดกซึ่งเป็นบุตรจำเลยทั้งสองเมื่อเจ้ามรดกถึงแก่กรรมจำเลยทั้งสองย่อมมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกบางส่วนศาลย่อมพิพากษาให้โจทก์ได้รับส่วนแบ่งตามส่วนของตนได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3349/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยักย้ายทรัพย์มรดก: การเพิกถอนน.ส.3ก. ที่ออกทับที่ดินผู้อื่น ไม่ถือเป็นการฉ้อฉล
จำเลยซึ่งเป็นทายาทได้ขอเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่มีชื่อเจ้ามรดก โดยอ้างต่อเจ้าพนักงานว่าจำเลยมีสิทธิในที่ดินนั้นและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ออกทับที่ดินของบุคคลอื่นดังนี้ถือไม่ได้ว่าจำเลยยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกเพราะแม้ไม่มีจำเลยหรือผู้ใดร้องขอให้เพิกถอนทางราชการก็ต้องเพิกถอนอยู่แล้วทั้งนี้เนื่องจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทออกทับที่ของบุคคลอื่นจึงไม่ถือว่าจำเลยกระทำการโดยฉ้อฉล อันเป็นการยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดก
โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทและค่าขาดประโยชน์ทำนาในที่ดินพิพาททั้งหมด ศาลฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และเจ้ามรดกซึ่งเป็นบุตรจำเลยทั้งสอง เมื่อเจ้ามรดกถึงแก่กรรม จำเลยทั้งสองย่อมมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกบางส่วนศาลย่อมพิพากษาให้โจทก์ได้รับส่วนแบ่งตามส่วนของตนได้
โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทและค่าขาดประโยชน์ทำนาในที่ดินพิพาททั้งหมด ศาลฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และเจ้ามรดกซึ่งเป็นบุตรจำเลยทั้งสอง เมื่อเจ้ามรดกถึงแก่กรรม จำเลยทั้งสองย่อมมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกบางส่วนศาลย่อมพิพากษาให้โจทก์ได้รับส่วนแบ่งตามส่วนของตนได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3349/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยักย้ายทรัพย์มรดก: การเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินทับซ้อนกับที่ดินผู้อื่น ไม่ถือเป็นการฉ้อฉล
จำเลยซึ่งเป็นทายาทได้ขอเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่มีชื่อเจ้ามรดก โดยอ้างต่อเจ้าพนักงานว่าจำเลยมีสิทธิในที่ดินนั้น และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ออกทับที่ดินของบุคคลอื่น ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าจำเลยยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดก เพราะแม้ไม่มีจำเลยหรือผู้ใดร้องขอให้เพิกถอน ทางราชการก็ต้องเพิกถอนอยู่แล้วทั้งนี้เนื่องจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทออกทับที่ของบุคคลอื่น จึงไม่ถือว่าจำเลยกระทำการโดยฉ้อฉล อันเป็นการยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดก
โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทและค่าขาดประโยชน์ทำนาในที่ดินพิพาททั้งหมด ศาลฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และเจ้ามรดกซึ่งเป็นบุตรจำเลยทั้งสอง เมื่อเจ้ามรดกถึงแก่กรรม จำเลยทั้งสองย่อมมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกบางส่วน ศาลย่อมพิพากษาให้โจทก์ได้รับส่วนแบ่งตามส่วนของตนได้
โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทและค่าขาดประโยชน์ทำนาในที่ดินพิพาททั้งหมด ศาลฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และเจ้ามรดกซึ่งเป็นบุตรจำเลยทั้งสอง เมื่อเจ้ามรดกถึงแก่กรรม จำเลยทั้งสองย่อมมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกบางส่วน ศาลย่อมพิพากษาให้โจทก์ได้รับส่วนแบ่งตามส่วนของตนได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2920/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีและการห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานะบริวารในคดีขับไล่
คดีเดิมโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาทซึ่งขณะยื่นคำฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละห้าพันบาท จำเลยให้การว่าบ้านพิพาทเป็นของนาย ส. สัญญาซื้อขายบ้านพิพาทเป็นโมฆะและทำขึ้นเพื่อค้ำประกันเงินกู้ ต่อมาจำเลยประนีประนอมยอมความกับโจทก์ ยอมออกจากบ้านพิพาทและชำระค่าเสียหาย ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมแล้ว ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ในอันที่จะได้รับยกเว้น ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง
ในชั้นบังคับคดีมีประเด็นว่า ผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลยหรือไม่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าผู้ร้องเป็นบริวารจำเลยให้ขับไล่ผู้ร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนเป็นคดีเกี่ยวกับการบังคับวงศ์ญาติและบริวารของจำเลยที่ถูกฟ้องขับไล่ในกรณีอื่นอันอยู่บนอสังหาริมทรัพย์ เมื่อคู่ความเดิมในคดีฟ้องขับไล่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงผู้ร้องจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคสาม ที่ผู้ร้องฎีกาว่าบ้านพิพาทเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงไม่ใช่บริวารจำเลย เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ในชั้นบังคับคดีมีประเด็นว่า ผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลยหรือไม่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าผู้ร้องเป็นบริวารจำเลยให้ขับไล่ผู้ร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนเป็นคดีเกี่ยวกับการบังคับวงศ์ญาติและบริวารของจำเลยที่ถูกฟ้องขับไล่ในกรณีอื่นอันอยู่บนอสังหาริมทรัพย์ เมื่อคู่ความเดิมในคดีฟ้องขับไล่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงผู้ร้องจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคสาม ที่ผู้ร้องฎีกาว่าบ้านพิพาทเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงไม่ใช่บริวารจำเลย เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2920/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีและการพิพากษาถึงที่สุดในคดีขับไล่: ข้อจำกัดในการฎีกาเมื่อคู่ความเดิมต้องห้าม
คดีเดิมโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาทซึ่งขณะยื่นคำฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละห้าพันบาทจำเลยให้การว่าบ้านพิพาทเป็นของนายส.สัญญาซื้อขายบ้านพิพาทเป็นโมฆะและทำขึ้นเพื่อค้ำประกันเงินกู้ต่อมาจำเลยประนีประนอมยอมความกับโจทก์ยอมออกจากบ้านพิพาทและชำระค่าเสียหายศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมแล้วถือไม่ได้ว่าจำเลยได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ในอันที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคสอง ในชั้นบังคับคดีมีประเด็นว่าผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลยหรือไม่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าผู้ร้องเป็นบริวารจำเลยให้ขับไล่ผู้ร้องศาลอุทธรณ์พิพากษายืนเป็นคดีเกี่ยวกับการบังคับวงศ์ญาติและบริวารของจำเลยที่ถูกฟ้องขับไล่ในกรณีอื่นอันอยู่บนอสังหาริมทรัพย์เมื่อคู่ความเดิมในคดีฟ้องขับไล่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงผู้ร้องจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคสามที่ผู้ร้องฎีกาว่าบ้านพิพาทเป็นของผู้ร้องผู้ร้องจึงไม่ใช่บริวารจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2920/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีและการเป็นบริวาร: ข้อจำกัดในการฎีกาเมื่อคดีเดิมต้องห้าม
คดีเดิมโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาทซึ่งขณะยื่นคำฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละห้าพันบาท จำเลยให้การว่าบ้านพิพาทเป็นของนาย ส. สัญญาซื้อขายบ้านพิพาทเป็นโมฆะและทำขึ้นเพื่อค้ำประกันเงินกู้ ต่อมาจำเลยประนีประนอมยอมความกับโจทก์ ยอมออกจากบ้านพิพาทและชำระค่าเสียหาย ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมแล้ว ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ในอันที่จะได้รับยกเว้น ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248วรรคสอง
ในชั้นบังคับคดีมีประเด็นว่า ผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลยหรือไม่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าผู้ร้องเป็นบริวารจำเลย ให้ขับไล่ผู้ร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนเป็นคดีเกี่ยวกับการบังคับวงศ์ญาติและบริวารของจำเลยที่ถูกฟ้องขับไล่ในกรณีอื่นอันอยู่บนอสังหาริมทรัพย์ เมื่อคู่ความเดิมในคดีฟ้องขับไล่ ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงผู้ร้องจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคสาม ที่ผู้ร้องฎีกาว่าบ้านพิพาทเป็นของผู้ร้องผู้ร้องจึงไม่ใช่บริวารจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ในชั้นบังคับคดีมีประเด็นว่า ผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลยหรือไม่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าผู้ร้องเป็นบริวารจำเลย ให้ขับไล่ผู้ร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนเป็นคดีเกี่ยวกับการบังคับวงศ์ญาติและบริวารของจำเลยที่ถูกฟ้องขับไล่ในกรณีอื่นอันอยู่บนอสังหาริมทรัพย์ เมื่อคู่ความเดิมในคดีฟ้องขับไล่ ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงผู้ร้องจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคสาม ที่ผู้ร้องฎีกาว่าบ้านพิพาทเป็นของผู้ร้องผู้ร้องจึงไม่ใช่บริวารจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2861/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: การฟ้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำที่ดินซ้ำกับคดีเดิมที่ศาลยกฟ้องแล้ว
เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยว่าจำเลยสร้างตึกรุกล้ำที่ดินโฉนดเลขที่981 และปลูกสร้างฝาผนังก่ออิฐรุกล้ำอีกด้วยศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าที่ดินพิพาทที่โจทก์ฟ้องอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 981 ของโจทก์พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยว่าปลูกสร้างตึกแถวรุกล้ำที่ดินโฉนดเลขที่ 981 และมีสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำตรงตามฟ้องคดีเดิมทุกประการ และขอให้พิพากษารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำเช่นเดียวกับคดีเดิม ถือได้ว่า คดีเดิมและคดีนี้คู่ความเดียวกันประเด็นในคดีก่อนและในคดีนี้ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันจึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามมิให้รื้อร้องฟ้องกันอีกตามมาตรา 148 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2861/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำในคดีรุกล้ำที่ดิน: การฟ้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างซ้ำกับคดีเดิมที่ศาลยกฟ้องแล้ว
เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยว่าจำเลยสร้างตึกรุกล้ำที่ดินโฉนดเลขที่ 981 และปลูกสร้างฝาผนังก่ออิฐรุกล้ำอีกด้วย ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าที่ดินพิพาทที่โจทก์ฟ้องอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 981 ของโจทก์พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยว่าปลูกสร้างตึกแถวรุกล้ำที่ดินโฉนดเลขที่ 981 และมีสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำตรงตามฟ้องคดีเดิมทุกประการ และขอให้พิพากษารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำเช่นเดียวกับคดีเดิม ถือได้ว่า คดีเดิมและคดีนี้คู่ความเดียวกัน ประเด็นในคดีก่อนและในคดีนี้ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันจึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามมิให้รื้อร้องฟ้องกันอีกตามมาตรา 148 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2861/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำในคดีรุกล้ำที่ดิน: การฟ้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเดิมที่ศาลยกฟ้องแล้วถือเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยว่าจำเลยสร้างตึกรุกล้ำที่ดินโฉนดเลขที่981และปลูกสร้างฝาผนังก่ออิฐรุกล้ำอีกด้วยศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าที่ดินพิพาทที่โจทก์ฟ้องอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่981ของโจทก์พิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุดคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยว่าปลูกสร้างตึกแถวรุกล้ำที่ดินโฉนดเลขที่981และมีสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำตรงตามฟ้องคดีเดิมทุกประการและขอให้พิพากษารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำเช่นเดียวกับคดีเดิมถือได้ว่าคดีเดิมและคดีนี้คู่ความเดียวกันประเด็นในคดีก่อนและในคดีนี้ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันจึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามมิให้รื้อร้องฟ้องกันอีกตามมาตรา148แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง.