พบผลลัพธ์ทั้งหมด 329 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2701/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในประเด็นข้อเท็จจริงเมื่อศาลชั้นต้นและอุทธรณ์มีคำพิพากษาต้องกัน
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา288,289,339,340ตรี,83ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา288,339,340ตรี,80ลงโทษตามมาตรา288,80นอกนั้นให้ยกศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องข้อหาตามมาตรา288,80และมาตรา340ตรีด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นดังนี้เมื่อข้อหาตามมาตรา289ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริงโจทก์จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงสำหรับข้อหาดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา220.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2590/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผิดสัญญาซื้อขายโรงโม่หิน: ศาลยืนตามอุทธรณ์ โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนเงินที่รับไปจากโจทก์และค่าเสียหายที่จำเลยผิดสัญญาซื้อขายนำโรงโม่หินและอุปกรณ์ซึ่งไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของจำเลยมาหลอกลวงขายให้โจทก์ทำให้ถูกยึดทรัพย์สินบางส่วนไปจำเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้โจทก์คืนทรัพย์สินนอกเหนือจากที่ถูกยึดแก่จำเลย ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ไม่ชำระเงินค่าซื้อโรงโม่หินให้แก่จำเลยตามสัญญาซื้อขาย พิพากษายกฟ้องโจทก์และให้ส่งมอบทรัพย์สินที่ซื้อขายซึ่งอยู่ในครอบครองของโจทก์แก่จำเลยศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกาขอให้บังคับคดีตามฟ้อง โดยไม่ขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยด้วย ดังนี้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องแย้งซึ่งถึงที่สุดแล้ว ย่อมผูกพันโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 และต้องฟังว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยผิดสัญญานำโรงโม่หินและอุปกรณ์ซึ่งไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของจำเลยมาหลอกลวงขายให้โจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายจึงรับฟังไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2539-2540/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องละเมิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์: สิทธิของเจ้าของทรัพย์สิน, อำนาจหุ้นส่วนผู้จัดการ, และความชัดเจนของฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ช. คนขับรถยนต์ของจำเลยขับรถยนต์ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวัง โดยขับรถเข้าไปในช่องทางเดินรถคันที่โจทก์ที่ 3 ขับเป็นเหตุให้รถชนกัน เป็นการบรรยายฟ้องโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาพอที่จำเลยจะเข้าใจได้แล้วฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ฎีกาในประเด็นที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
หุ้นส่วนผู้จัดการห้างโจทก์มี 3 คน และไม่มีข้อจำกัดอำนาจหุ้นส่วนผู้จัดการ หุ้นส่วนผู้จัดการคนใดคนหนึ่งย่อมมีสิทธิกระทำกิจการในนามห้างโจทก์ได้
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 เจ้าของทรัพย์สินนอกจากจะมีสิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้แล้ว ยังมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมายอีกด้วย เมื่อจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินโจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องจำเลยได้
ฎีกาในประเด็นที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
หุ้นส่วนผู้จัดการห้างโจทก์มี 3 คน และไม่มีข้อจำกัดอำนาจหุ้นส่วนผู้จัดการ หุ้นส่วนผู้จัดการคนใดคนหนึ่งย่อมมีสิทธิกระทำกิจการในนามห้างโจทก์ได้
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 เจ้าของทรัพย์สินนอกจากจะมีสิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้แล้ว ยังมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมายอีกด้วย เมื่อจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินโจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2539-2540/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องละเมิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์: การบรรยายฟ้อง, อำนาจหุ้นส่วนผู้จัดการ, สิทธิเจ้าของทรัพย์สิน
โจทก์บรรยายฟ้องว่าช.คนขับรถยนต์ของจำเลยขับรถยนต์ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังโดยขับรถเข้าไปในช่องทางเดินรถคันที่โจทก์ที่3ขับเป็นเหตุให้รถชนกันเป็นการบรรยายฟ้องโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาพอที่จำเลยจะเข้าใจได้แล้วฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม. ฎีกาในประเด็นที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้. หุ้นส่วนผู้จัดการห้างโจทก์มี3คนและไม่มีข้อจำกัดอำนาจหุ้นส่วนผู้จัดการหุ้นส่วนผู้จัดการคนใดคนหนึ่งย่อมมีสิทธิกระทำกิจการในนามห้างโจทก์ได้. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1336เจ้าของทรัพย์สินนอกจากจะมีสิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้แล้วยังมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมายอีกด้วยเมื่อจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินโจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องจำเลยได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2536/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการเลิกสัญญาซื้อขายและการริบเงินประกัน ย่อมตัดสิทธิในการเรียกร้องเบี้ยปรับรายวัน
จำเลยทำสัญญาขายเครื่องมือทดสอบคุณภาพสีให้โจทก์สัญญาข้อ8มีว่าเมื่อครบกำหนดส่งมอบสิ่งของตามสัญญาแล้วถ้าผู้ขายไม่ส่งมอบสิ่งของที่ตกลงขายให้แก่ผู้ซื้อหรือส่งมอบสิ่งของทั้งหมดไม่ถูกต้องหรือส่งมอบสิ่งของไม่ครบจำนวนผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ในกรณีที่ผู้ซื้อใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อริบหลักประกันหรือเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือสัญญาค้ำประกันเป็นจำนวนทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ได้แล้วแต่จะเห็นสมควรและถ้าผู้ซื้อจัดซื้อสิ่งของจากบุคคลอื่นเต็มจำนวนหรือเฉพาะจำนวนที่ขาดส่งแล้วแต่กรณีภายในกำหนด3เดือนนับแต่วันที่บอกเลิกสัญญาผู้ขายต้องยอมรับผิดชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นจากที่กำหนดไว้ในสัญญานี้ด้วยและสัญญาข้อ9มีว่าในกรณีผู้ซื้อไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามข้อ8ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละศูนย์จุดสอง(0.2)ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบนับแต่วันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันที่ผู้ขายได้นำสิ่งของมาส่งให้แก่ผู้ซื้อจนถูกต้องครบถ้วนในระหว่างที่มีการปรับถ้าผู้ซื้อเห็นว่าผู้ขายไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ผู้ซื้อจะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกันกับเรียกร้องให้ชดใช้ราคาเพิ่มขึ้นจากราคาที่กำหนดไว้ในสัญญาตามข้อ8นอกเหนือจากการปรับจนถึงวันบอกเลิกสัญญาด้วยก็ได้ดังนี้โจทก์ย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาในกรณีจำเลยไม่ส่งมอบของหรือส่งมอบไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วนและมีสิทธิริบเงินประกันที่จำเลยวางไว้รวมทั้งมีสิทธิที่จะซื้อของจากผู้อื่นและเรียกราคาที่เพิ่มขึ้นจากจำเลยแต่ถ้าครบกำหนดเวลาแล้วโจทก์ไม่เลิกสัญญาและยินยอมให้จำเลยนำสิ่งของที่ซื้อขายตามสัญญามาส่งให้แก่โจทก์โจทก์จึงจะมีสิทธิเรียกร้องเอาเบี้ยปรับจากจำเลยเป็นรายวันได้ในอัตราร้อยละศูนย์จุดสอง(0.2)ของราคาสิ่งของนับแต่วันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันที่จำเลยนำสิ่งของมาส่งให้แก่โจทก์จนถูกต้องครบถ้วนเมื่อจำเลยไม่ส่งสิ่งของให้แก่โจทก์เลยโจทก์ได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาและริบเงินประกันตามสัญญาอันเป็นการใช้สิทธิตามสัญญาข้อ8แล้วโจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกค่าปรับเป็นรายวันจากจำเลยตามสัญญา9ข้อได้อีก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2536/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการเลิกสัญญาซื้อขายและการเรียกร้องค่าปรับ กรณีผู้ขายไม่ส่งมอบสินค้า ผู้ซื้อมีสิทธิเลือกใช้สิทธิอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
จำเลยทำสัญญาขายเครื่องมือทดสอบคุณภาพสีให้โจทก์สัญญาข้อ8มีว่าเมื่อครบกำหนดส่งมอบสิ่งของตามสัญญานี้แล้วถ้าผู้ขายไม่ส่งมอบสิ่งของที่ตกลงขายให้แก่ผู้ซื้อหรือส่งมอบสิ่งของทั้งหมดไม่ถูกต้องหรือส่งมอบสิ่งของไม่ครบจำนวนผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ในกรณีที่ผู้ซื้อใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อริบหลักประกันหรือเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือสัญญาค้ำประกันเป็นจำนวนทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ได้แล้วแต่จะเห็นสมควรและถ้าผู้ซื้อจัดซื้อสิ่งของจากบุคคลอื่นเต็มจำนวนหรือเฉพาะจำนวนที่ขาดส่งแล้วแต่กรณีภายในกำหนด3เดือนนับแต่วันที่บอกเลิกสัญญาผู้ขายต้องยอมรับผิดชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นจากที่กำหนดไว้ในสัญญานี้ด้วย.....และสัญญาข้อ9มีว่าในกรณีผู้ซื้อไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามข้อ8ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละศูนย์จุดสอง(0.2)ของราคาสิ่งของมาส่งให้แก่ผู้ซื้อจนถูกต้องครบถ้วนในระหว่างที่มีการปรับถ้าผู้ซื้อเห็นว่าผู้ขายไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ผู้ซื้อจะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกันกับเรียกร้องให้ชดใช้ราคาเพิ่มขึ้นจากราคาที่กำหนดไว้ในสัญญาตามข้อ8นอกเหนือจากการปรับจนถึงวันบอกเลิกสัญญาด้วยก็ได้ดังนี้เห็นว่าโจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาในกรณีที่จำเลยหรือผู้ขายไม่ส่งมอบของหรือส่งมอบไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วนและมีสิทธิริบเงินประกันที่จำเลยวางไว้รวมทั้งมีสิทธิที่จะซื้อของจากผู้อื่นและเรียกราคาที่เพิ่มขึ้นจากจำเลยแต่ถ้าครบกำหนดเวลาแล้วโจทก์ไม่เลิกสัญญาและยินยอมให้จำเลยนำสิ่งของที่ซื้อขายตามสัญญามาส่งให้แก่โจทก์โจทก์จึงจะมีสิทธิเรียกร้องเอาเบี้ยปรับจากจำเลยเป็นรายวันได้ในอัตราร้อยละศูนย์จุดสอง(0.2)ของราคาสิ่งของนับแต่วันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันที่จำเลยนำสิ่งของมาส่งให้แก่โจทก์จนถูกต้องครบถ้วนเมื่อจำเลยไม่ส่งสิ่งของให้แก่โจทก์เลยโจทก์ได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาและริบเงินประกันตามสัญญาอันเป็นการใช้สิทธิตามสัญญาข้อ8โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกค่าปรับเป็นรายวันจากจำเลยตามสัญญาข้อ9ได้อีก. (วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่4/2529)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2536/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการบอกเลิกสัญญาซื้อขายและการริบเงินประกัน ย่อมตัดสิทธิในการเรียกร้องค่าปรับรายวัน
จำเลยทำสัญญาขายเครื่องมือทดสอบคุณภาพสีให้โจทก์ สัญญาข้อ 8 มีว่า เมื่อครบกำหนดส่งมอบสิ่งของตามสัญญานี้แล้ว ถ้าผู้ขายไม่ส่งมอบสิ่งของที่ตกลงขายให้แก่ผู้ซื้อ หรือส่งมอบสิ่งของทั้งหมดไม่ถูกต้อง หรือส่งมอบสิ่งของไม่ครบจำนวน ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ ในกรณีที่ผู้ซื้อใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อริบหลักประกันหรือเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือสัญญาค้ำประกัน เป็นจำนวนทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ได้แล้วแต่จะเห็นสมควรและถ้าผู้ซื้อจัดซื้อสิ่งของจากบุคคลอื่นเต็มจำนวนหรือเฉพาะจำนวนที่ขาดส่งแล้วแต่กรณีภายในกำหนด 3 เดือน นับแต่วันที่บอกเลิกสัญญา ผู้ขายต้องยอมรับผิดชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นจากที่กำหนดไว้ในสัญญานี้ด้วย.....และสัญญาข้อ 9 มีว่า ในกรณีผู้ซื้อไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามข้อ 8 ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละศูนย์จุดสอง (0.2) ของราคาสิ่งของมาส่งให้แก่ผู้ซื้อจนถูกต้องครบถ้วนในระหว่างที่มีการปรับ ถ้าผู้ซื้อเห็นว่าผู้ขายไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ผู้ซื้อจะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกันกับเรียกร้องให้ชดใช้ราคาเพิ่มขึ้นจากราคาที่กำหนดไว้ในสัญญาตามข้อ 8 นอกเหนือจากการปรับจนถึงวันบอกเลิกสัญญาด้วยก็ได้ ดังนี้เห็นว่าโจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาในกรณีที่จำเลยหรือผู้ขายไม่ส่งมอบของหรือส่งมอบไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน และมีสิทธิริบเงินประกันที่จำเลยวางไว้ รวมทั้งมีสิทธิที่จะซื้อของจากผู้อื่นและเรียกราคาที่เพิ่มขึ้นจากจำเลยแต่ถ้าครบกำหนดเวลาแล้วโจทก์ไม่เลิกสัญญาและยินยอมให้จำเลยนำสิ่งของที่ซื้อขายตามสัญญามาส่งให้แก่โจทก์ โจทก์จึงจะมีสิทธิเรียกร้องเอาเบี้ยปรับจากจำเลยเป็นรายวันได้ในอัตราร้อยละศูนย์จุดสอง (0.2) ของราคาสิ่งของนับแต่วันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันที่จำเลยนำสิ่งของมาส่งให้แก่โจทก์จนถูกต้องครบถ้วนเมื่อจำเลยไม่ส่งสิ่งของให้แก่โจทก์เลย โจทก์ได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาและริบเงินประกันตามสัญญาอันเป็นการใช้สิทธิตามสัญญาข้อ 8 โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกค่าปรับเป็นรายวันจากจำเลยตามสัญญาข้อ 9 ได้อีก.
(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 4/2529)
(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 4/2529)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2508/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย: กรณีถูกกลุ่มผู้มีอาวุธเข้าทำร้าย
ขณะที่จำเลยกับเพื่อนคนหนึ่งกำลังยืนคุยกัน ถูก ต. กับพวก3 - 4 คนวิ่งเข้ามาทำร้ายแล้วพากันวิ่งหนีไป จำเลยถือปืนวิ่งไล่ตาม แต่เมื่อไล่ไม่ทัน จำเลยก็วิ่งกลับมาที่เดิม นำเพื่อนขึ้นไปนั่งบนรถยนต์สองแถวเพื่อจะกลับบ้าน แสดงว่าจำเลยไม่สมัครใจที่จะวิวาทกับ ต. และพวกต่อไปแล้ว ต. กับพวกแจ้งให้ผู้เสียหายซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุทราบ ผู้เสียหายพร้อมด้วย ต. กับพวกรวม 7 - 8 คน มีมีดเป็นอาวุธพากันวิ่งไปหาจำเลยซึ่งยืนอยู่ท้ายรถยนต์สองแถว จำเลยร้องห้ามไม่ให้ผู้เสียหายกับพวกเข้ามาผู้เสียหายกับพวกไม่ฟังเสียง พวกผู้เสียหายกลับพูดว่าลุยเข้าไปเลยกระสุนปืนหมดแล้วจำเลยชักปืนออกมาถือจ้องไว้ ผู้เสียหายกับพวกก็ยังวิ่งเข้ามา จำเลยจึงยิงปืนออกไป 1 นัด ในขณะที่ผู้เสียหายอยู่ห่างจำเลย 10 เมตร และ ต. อยู่ห่าง 5 เมตร ดังนี้ถือได้ว่าเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ เป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2508/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย: การยิงเพื่อป้องกันภัยอันตรายใกล้ถึงจากการถูกทำร้ายด้วยอาวุธมีด
ต. กับพวกเข้าชกต่อยทำร้ายจำเลยกับเพื่อนแล้ววิ่งหนีไปจำเลยกับเพื่อนวิ่งไล่ตามโดยจำเลยถือปืนไปด้วยแต่เมื่อไล่ไม่ทันจำเลยก็วิ่งกลับนำเพื่อนขึ้นนั่งบนรถยนต์สองแถวเพื่อจะกลับบ้านแสดงว่าจำเลยไม่สมัครใจที่จะวิวาททำร้ายกับต. และพวกต่อไปแล้วเมื่อต. ไปตามผู้เสียหายกับพวก7-8คนซึ่งมีมีดเป็นอาวุธติดตัวทุกคนวิ่งกรูกันกลับมายังจำเลยซึ่งกำลังอยู่บนรถสองแถวจำเลยพูดห้ามไม่ให้เข้ามาแต่ผู้เสียหายกับพวกไม่ฟังเสียงกลับถือมีดเข้ามาจะทำร้ายจำเลยจำเลยจึงใช้ปืนยิงผู้เสียหายกับพวกในขณะที่จำเลยอยู่ห่างผู้เสียหายประมาณ10เมตรและอยู่ห่างต. ประมาณ5เมตรเท่านั้นหากผู้เสียหายกับพวกวิ่งเข้ามาถึงตัวอาจทำร้ายจำเลยถึงตายได้นับเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้จึงเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุจำเลยไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่าและฐานยิงปืนโดยใช่เหตุในเมืองหมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2508/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย: ปืนและมีดในสถานการณ์คับขัน
ขณะที่จำเลยกับเพื่อนคนหนึ่งกำลังยืนคุยกันถูกต.กับพวก3-4คนวิ่งเข้ามาทำร้ายแล้วพากันวิ่งหนีไปจำเลยถือปืนวิ่งไล่ตามแต่เมื่อไล่ไม่ทันจำเลยก็วิ่งกลับมาที่เดิมนำเพื่อนขึ้นไปนั่งบนรถยนต์สองแถวเพื่อจะกลับบ้านแสดงว่าจำเลยไม่สมัครใจที่จะวิวาทกับต.และพวกต่อไปแล้วต.กับพวกแจ้งให้ผู้เสียหายซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุทราบผู้เสียหายพร้อมด้วยต.กับพวกรวม7-8คนมีมีดเป็นอาวุธพากันวิ่งไปหาจำเลยซึ่งยืนอยู่ท้ายรถยนต์สองแถวจำเลยร้องห้ามไม่ให้ผู้เสียหายกับพวกเข้ามาผู้เสียหายกับพวกไม่ฟังเสียงพวกผู้เสียหายกลับพูดว่าลุยเข้าไปเลยกระสุนปืนหมดแล้วจำเลยชักปืนออกมาถือจ้องไว้ผู้เสียหายกับพวกก็ยังวิ่งเข้ามาจำเลยจึงยิงปืนออกไป1นัดในขณะที่ผู้เสียหายอยู่ห่างจำเลย10เมตรและต.อยู่ห่าง5เมตรดังนี้ถือได้ว่าเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ.