คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
พ.ร.บ.ควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 ม. 46

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 21 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2459/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่านา: การตีความลักษณะสัญญาและการมีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย
โจทก์ให้จำเลยทำนาในที่นาของโจทก์โดยโจทก์เป็นผู้จัดหาพันธุ์ข้าวและปุ๋ย เป็นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่และซ่อมแซมพนังกั้นน้ำเพื่อป้องกันมิให้ข้าวในนาเสียหาย ส่วนจำเลยเป็นผู้ออกแรง ไถคราด ตกกล้า ปักดำ เก็บเกี่ยวและนวดข้าว โดยใช้อุปกรณ์การทำนาของจำเลยเมื่อทำนาได้ข้าวแล้ว ตวงเอาข้าวจำนวนหนึ่งไว้เป็นพันธุ์ข้าวในปีต่อไป ข้าวที่เหลือแบ่งกันคนละครึ่งระหว่างโจทก์จำเลย หากปีใดการทำนาไม่ได้ผลต่างไม่ต้องเสียอะไรให้แก่กัน การที่โจทก์มอบนาให้จำเลยทำและได้รับข้าวเป็นค่าตอบแทนเช่นนี้ ถือว่าเป็นการเช่าที่ดินเพื่อทำนาตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 มาตรา 4 หาใช่เป็นการจ้างจำเลยทำนาไม่
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 บัญญัติว่า เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญท่านว่าจะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่ ตามบทบัญญัตินี้หาได้บัญญัติให้การเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่มิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือตกเป็นโมฆะไม่ และตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 มาตรา 4 การเช่านาเพื่อทำนาไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ดังนั้น การเช่านาของจำเลยจากโจทก์แม้จะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ก็ไม่เป็นโมฆะ
โจทก์ให้จำเลยเช่าที่ดินเพื่อทำนาโดยไม่มีกำหนดเวลาไว้ก่อนพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 ใช้บังคับ จำเลยมีสิทธิเช่าทำนาในที่ดินดังกล่าวต่อไปอีก 6 ปี ตามมาตรา 46

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2459/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่านา แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ก็ไม่ตกเป็นโมฆะ และมีสิทธิเช่าต่อเนื่องตามกฎหมาย
โจทก์ให้จำเลยทำนาในที่นาของโจทก์โดยโจทก์เป็นผู้จัดหาพันธุ์ข้าวและปุ๋ยเป็นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่และซ่อมแซมผนังกั้นน้ำเพื่อป้องกันมิให้ข้าวในนาเสียหาย ส่วนจำเลยเป็นผู้ออกแรง ไถคราด ตกกล้า ปักดำ เก็บเกี่ยวและนวดข้าว โดยใช้อุปกรณ์การทำนาของจำเลย เมื่อทำนาได้ข้าวแล้ว ตวงเอาข้าวจำนวนหนึ่งไว้เป็นพันธุ์ข้าวในปีต่อไป ข้าวที่เหลือแบ่งกันคนละครึ่งระหว่างโจทก์จำเลย หากปีใดการทำนาไม่ได้ผลต่าง ไม่ต้องเสียอะไรให้แก่กัน การที่โจทก์มอบนาให้จำเลยทำและได้รับข้าวเป็นค่าตอบแทนเช่นนี้ ถือว่าเป็นการเช่าที่ดินเพื่อทำนาตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 มาตรา 4 หาใช่เป็นการจ้างจำเลยทำนาไม่
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 บัญญัติว่า เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่ ตามบทบัญญัตินี้หาได้บัญญัติให้การเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่มิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือตกเป็นโมฆะไม่ และตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 มาตรา 4 การเช่านาเพื่อทำนาไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ดังนั้น การเช่านาของจำเลยจากโจทก์ แม้จะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ก็ไม่เป็นโมฆะ
โจทก์ให้จำเลยเช่าที่ดินเพื่อทำนาโดยไม่มีกำหนดเวลาไว้ก่อนพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 ใช้บังคับ จำเลยมีสิทธิเช่าทำนาในที่ดินดังกล่าวต่อไปอีก 6 ปี ตามมาตรา 46

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2447/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่านาเดิมก่อน พ.ร.บ.ควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 มีผลต่อผู้รับโอนกรรมสิทธิ์
โจทก์ทำสัญญาเช่านาจำเลยก่อนพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 ใช้บังคับ เมื่อสัญญานี้ยังไม่ระงับ และเป็นสัญญาที่มีกำหนดเวลาต่ำกว่า 6 ปี จึงมีผลให้การเช่ามีกำหนดเวลา 6 ปี นับแต่วันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับ
การโอนกรรมสิทธิ์นาที่ให้เช่าหาทำให้สัญญาเช่าระงับไปไม่ ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2447/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่านาเดิมก่อนพ.ร.บ.ควบคุมการเช่านา ใช้บังคับ สิทธิการเช่ายังคงอยู่ แม้มีการโอนกรรมสิทธิ์
โจทก์ทำสัญญาเช่านาจำเลยก่อนพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาพ.ศ.2517 ใช้บังคับ เมื่อสัญญานี้ยังไม่ระงับ และเป็นสัญญาที่มีกำหนดเวลาต่ำกว่า 6 ปี จึงมีผลให้การเช่ามีกำหนดเวลา 6 ปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับ
การโอนกรรมสิทธิ์นาที่ให้เช่าหาทำให้สัญญาเช่าระงับไปไม่ ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2298/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การระงับสิ้นสัญญาเช่าช่วงเมื่อผู้เช่าเดิมถึงแก่กรรม และสิทธิของผู้เช่าใหม่ที่ทำสัญญาโดยตรงกับเจ้าของที่ดิน
แม้จำเลยจะได้เช่าช่วงนาพิพาทจากนายผลบิดาโจทก์ โดยวัดเครือวัลย์วรวิหารเจ้าของนายินยอมก็ตาม แต่เมื่อนายผลบิดาโจทก์ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ.2516 การเช่าระหว่างวัดเครือวัลย์วรวิหารกับนายผลได้ระงับลง มีผลให้การเช่าช่วงนาพิพาทของจำเลยระงับไปด้วย ขณะนายผลถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ.2516 นั้น พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 ยังมิได้ประกาศใช้บังคับจึงไม่อาจนำผลบังคับตามกฎหมายใหม่ไปใช้ได้ ครั้นโจทก์ได้เป็นผู้เช่าประจำปี พ.ศ.2517, 2518 เป็นสิทธิเฉพาะตัวของโจทก์เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เช่านาพิพาทกับโจทก์ โจทก์จำเลย (ย่อม) ไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกันจำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2298/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การระงับสัญญาเช่าช่วงเมื่อผู้เช่าเดิมเสียชีวิต และสิทธิของผู้เช่าใหม่ที่ไม่ปรากฏนิติสัมพันธ์
แม้จำเลยจะได้เช่าช่วงนาพิพาทจากนายผลบิดาโจทก์ โดยวัดเครือวัลย์วรวิหารเจ้าของนายินยอมก็ตาม แต่เมื่อนายผลบิดาโจทก์ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ.2516 การเช่าระหว่างวัดเครือวัลย์วรวิหารกับนายผลได้ระงับลง มีผลให้การเช่าช่วงนาพิพาทของจำเลยระงับไปด้วย ขณะนายผลถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ.2516 นั้น พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 ยังมิได้ประกาศใช้บังคับ จึงไม่อาจนำผลบังคับตามกฎหมายใหม่ไปใช้ได้ ครั้นโจทก์ได้เป็นผู้เช่าประจำปี พ.ศ.2517, 2518 เป็นสิทธิเฉพาะตัวของโจทก์ เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เช่านาพิพาทกับโจทก์ โจทก์จำเลย (ย่อม)ไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน จำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2115/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเช่านาตามพ.ร.บ.ควบคุมการเช่านา: การเช่าก่อนมีกฎหมาย และสิทธิการครอบครอง
ผู้เสียหายได้เช่านาจำเลยก่อนพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาพ.ศ.2517 ใช้บังคับ ไม่ได้ทำหนังสือสัญญาเช่าต่อกันและไม่ได้กำหนดเวลาเช่า เมื่อพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาพ.ศ.2517 ใช้บังคับแล้ว ผู้เสียหายจึงมีสิทธิในการเช่านามีกำหนด 6 ปีนับตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม2517(วันถัดจากวันประกาศใช้พระราชกิจจานุเบกษา) และเมื่อผู้เสียหายมีฐานะเป็นผู้เช่านา ย่อมมีสิทธิครอบครองนาที่เช่าโดยผลแห่งกฎหมายนั้น การเช่าจะยุติหรือสิ้นผลก็ต่อเมื่อผู้เช่า (ผู้เสียหาย) ไม่ประสงค์จะเช่าต่อไปหรือผู้ให้เช่าใช้สิทธิบอกเลิกเมื่อมีเหตุตามมาตรา 32 เท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1916/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การต่ออายุสัญญาเช่านาตาม พ.ร.บ.ควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 และความผิดฐานบุกรุก
ขณะที่พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มีผลใช้บังคับ คือวันที่ 18 ธันวาคม 2517 ผู้เสียหายเช่ายังเช่านาพิพาทอยู่ และเป็นการเช่าที่ไม่มีกำหนดเวลา หรือมีกำหนดเวลาแต่ต่ำกว่า 6 ปี กำหนดการเช่านาที่ทำไว้เดิมนั้นก็ต้องยืดออกไปอีก 6 ปี โดยผู้เสียหายไม่จำเป็นต้องแสดงเจตนาจะเช่านาต่อไป และต้องไปตกลงกันใหม่กับจำเลยเจ้าของนาอีก เว้นแต่ผู้เสียหายไม่ประสงค์จะเช่านาต่อไปตามมาตรา 46

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1915/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาคดีอาญาและแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกัน: คำสั่งศาลชั้นอุทธรณ์ให้ดำเนินคดีแพ่งต่อย่อมถึงที่สุดในส่วนอาญา
โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องคดีส่วนอาญา และมีคำสั่งไม่รับฟ้องคดีส่วนแพ่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ประทับฟ้องโจทก์รวมทั้งคดีส่วนแพ่งไว้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ดังนี้ คำสั่งศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 จำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกาในส่วนอาญา แต่มีสิทธิฎีกาสำหรับคดีส่วนแพ่งได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1915/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาในคดีแพ่งอาญาเกี่ยวเนื่อง การสิ้นสุดสิทธิฎีกาเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นว่าคดีมีมูล
โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องคดีส่วนอาญา และมีคำสั่งไม่รับฟ้องคดีส่วนแพ่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ประทับฟ้องโจทก์รวมทั้งคดีส่วนแพ่งไว้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ดังนี้ คำสั่งศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 จำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกาในส่วนอาญา แต่มีสิทธิฎีกาสำหรับคดีส่วนแพ่งได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247
of 3