คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
พนม พ่วงภิญโญ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 459 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3828/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีบังคับคดี: การบรรยายตาม ป.วิ.พ. มาตรา 290 และการพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่น
เงื่อนไขที่ระบุไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 290 วรรคสี่ เป็นกำหนดเวลาที่ผู้ร้องจะต้องยื่นคำร้องเข้ามาในทันทีภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องพิจารณาว่าผู้ร้องได้ยื่นเข้ามาในกำหนดเวลาหรือไม่ จึงไม่ใช่ข้อที่ผู้ร้องต้องบรรยายมาในคำร้อง ตามคำร้องบรรยายว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา แต่จำเลยไม่มีเงินจะชำระหนี้ให้ผู้ร้องได้ผู้ร้องจึงมาร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีนี้ ซึ่งพอแปลได้ความว่าผู้ร้องไม่สามารถเอาชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลย ถือได้ว่าผู้ร้องอ้างในคำร้องแล้วว่าจำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นเป็นเหตุให้ผู้ร้องไม่สามารถเอาชำระหนี้ได้ เป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 290 วรรคสอง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3813/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนและการสละสิทธิเรียกร้องค่าปรับ การโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์
โจทก์ชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์ครบทุกงวด โดยบางงวดชำระก่อนกำหนด บางงวดชำระช้า กว่ากำหนด ใบเสร็จรับเงินชำระค่าเช่าซื้อ ทุกฉบับมีช่องค่าปรับ แต่ไม่ระบุจำนวนเงินค่าปรับเพื่อให้โจทก์ทราบ และชำระค่าปรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใบเสร็จรับเงินค่าเช่าซื้อ งวด สุดท้าย มีรอยตราประทับไว้ว่า "โปรดทำการโอนภายใน 15 วัน" พร้อม ทั้ง มีเส้นขีดล้อมรอบช่อง "ค่าเช่าซื้องวดสุดท้าย" แต่ไม่ระบุ จำนวนเงิน ในช่องค่าปรับ แสดงว่าจำเลยยอมรับชำระหนี้แล้ว โดย มิได้ สงวนสิทธิ จะเรียกเอาเบี้ยปรับในเวลารับชำระหนี้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 381 วรรคสาม จำเลยจึง ไม่มีสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับจากโจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3784/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความคดีซื้อขาย: จำเลยให้การชัดเจนว่าขาดอายุความ สิทธิเรียกร้องมีกำหนด 2 ปี หากซื้อเครื่องอะไหล่ไม่ใช่เพื่ออุตสาหกรรม
โจทก์ฟ้องจำเลยเรื่องผิดสัญญาซื้อขายข้อหาเดียว จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เป็นคำให้การชัดแจ้งว่าข้อเท็จจริงเรื่องการซื้อขายทั้งหมดตามฟ้องขาดอายุความแล้ว ประเด็นข้อกฎหมายนั้น คู่ความเพียงแต่ยกขึ้นอ้างเป็นที่เข้าใจในข้อหาใด เรื่องใดก็เป็นการเพียงพอแล้ว แต่ถ้าข้อเท็จจริงที่นำไปสู่ข้อกฎหมายนั้นยังไม่เพียงพอก็จำเป็นต้องอ้างข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุแห่งการนั้นโดยชัดแจ้ง จึงจะเป็นประเด็นที่จะมีสิทธินำสืบต่อไปได้ โจทก์เป็นพ่อค้า จำเลยประกอบอาชีพรับจ้างเคาะพ่นสี ปะผุรถยนต์และรถจักรยานยนต์ จำเลยซื้อเชื่อเครื่องอะไหล่จากโจทก์แม้จะนำมาเปลี่ยนชิ้นส่วนของรถหรือขาย ก็ไม่ถือว่าทำเพื่ออุตสาหกรรมของฝ่ายลูกหนี้ สิทธิเรียกร้องนี้จึงมีอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 165(1).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3784/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความคดีซื้อขาย: จำเลยให้การขาดอายุความชัดเจน ถือเป็นประเด็นที่ศาลต้องวินิจฉัย
ประเด็นข้อกฎหมายนั้นคู่ความเพียงแต่ยกขึ้นอ้างเป็นที่เข้าใจในข้อหาใดเรื่องใดก็เป็นการเพียงพอแล้ว แต่ถ้าข้อเท็จจริงที่นำไปสู่ข้อกฎหมายนั้นยังไม่เพียงพอ ก็จำเป็นต้องอ้างข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุแห่งการนั้นโดยชัดแจ้ง จึงจะเป็นประเด็นที่ฝ่ายตนจะมีสิทธินำสืบต่อไปได้ คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยเรื่องผิดสัญญาซื้อขายข้อหาเดียว จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้ว เป็นคำให้การชัดแจ้งว่าข้อเท็จจริงเรื่องการซื้อขายทั้งหมดขาดอายุความแล้วชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง ข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์เป็นพ่อค้า จำเลยประกอบอาชีพรับจ้างเคาะ พ่นสี ปะ ผุรถยนต์และรถจักรยานยนต์ สินค้าที่จำเลยซื้อจากโจทก์เป็นเครื่องอะไหล่ทั้งนั้น แม้จะนำมาใช้เปลี่ยนชิ้นส่วนของรถหรือขายก็ไม่ถือว่าเป็นการที่ได้ทำเพื่ออุตสาหกรรมของฝ่ายลูกหนี้ตามความหมายในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1)สิทธิเรียกร้องจึงมีกำหนดอายุความสองปี.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3673/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชอบ: ข้อโต้แย้งเรื่องการยึดของกลางต้องยกขึ้นในศาลชั้นต้นก่อน
จำเลยฎีกาว่า การที่เจ้าพนักงานตำรวจผู้ค้นและยึดสิ่งของมิได้ปฏิบัติตาม ป.วิ.อ. มาตรา 101 และมาตรา 103 กล่าวคือ มิได้ห่อสิ่งของหรือบรรจุหีบห่อแล้วตีตราไว้ หรือไม่ทำเครื่องหมายสิ่งของที่ยึดได้หรือไม่ได้บันทึกรายละเอียดแห่งการค้น เพียงแต่ระบุว่าพบสิ่งของดังกล่าวจากบ้านจำเลย สิ่งของที่เป็นของกลางดังกล่าวจะใช้ยันจำเลยได้หรือไม่ ปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยดังกล่าวเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ และจำเลยเพียงแต่สงสัยว่าจะใช้ยันจำเลยได้หรือไม่เท่านั้น จำเลยมิได้ยกขึ้นอ้างอิงให้ชัดแจ้งว่าจะใช้ยันจำเลยไม่ได้เพราะเหตุใด ถือไม่ได้ว่าเป็นฎีกาที่โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ดังนี้ เป็นฎีกาที่ไม่ชอบ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3600/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความสัญญากู้ยืมเงิน/ขายลดเช็ค และการใช้สิทธิเรียกร้องหนี้ที่ไม่สุจริต
โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดโดยอาศัยมูลของสัญญากู้เงินและสัญญาขายลดเช็ค มิใช่ฟ้องเรียกเงินตามเช็คโดยตรง เมื่อกฎหมายมิได้กำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามป.พ.พ. มาตรา 164 แม้หลังจากธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่19 ตุลาคม 2525 แล้ว โจทก์ไม่ได้ติดตามทวงถามเงินตามเช็คเอาจากผู้สั่งจ่าย และเพิ่งแจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม2527 ก็หาเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่เพราะจำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้มีหนี้ต้องชำระหนี้ให้ถูกต้องตามประสงค์แห่งมูลหนี้แต่กลับละเลยไม่สนใจชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิได้ดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 เรื่อยไปตามกฎหมาย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3600/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความสัญญากู้เงิน/ขายลดเช็ค: ฟ้องภายใน 10 ปีได้ แม้เช็คขาดอายุความ
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองโดยอาศัยมูลของสัญญากู้เงินและสัญญาขายลดเช็ค มิใช่ฟ้องเรียกเงินตามเช็คโดยตรง สัญญากู้เงิน และขายลดเช็ค กฎหมายมิได้กำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 แม้ เช็คตามฟ้องซึ่งจำเลยที่ 1 นำมาขายลดนั้นขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1002 ไปแล้ว โจทก์ก็ยังฟ้องให้บังคับจำเลยทั้งสองได้ภายในอายุความ 10 ปี จำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ มีหน้าที่ต้องชำระหนี้แก่โจทก์ให้ถูกต้องตามความประสงค์แห่งมูลหนี้ แต่กลับละเลยไม่สนใจชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์จึงย่อมมีสิทธิได้ดอกเบี้ยจากจำเลยเรื่อยไปตามกฎหมาย จะถือว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหาได้ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3575/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับชำระหนี้จำนองต้องเกิดหลังผิดนัดชำระหนี้ หากยังไม่ผิดนัดสิทธิการบังคับยังไม่เกิด
โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 2 ได้นำยึดที่ดินซึ่งจำเลยที่ 2 จำนองเป็นประกันหนี้เงินกู้ผู้ร้องอยู่มาบังคับคดีชำระหนี้ตามคำพิพากษา เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขอบังคับชำระหนี้จำนอง ก่อนกำหนดชำระหนี้ตามสัญญากู้ 1 วัน ซึ่งจำเลยที่ 2ยังไม่ผิดนัดชำระหนี้ หนี้จำนองของผู้ร้องจึงยังมิใช่หนี้จำนองที่อาจบังคับได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 289 ดังนี้ผู้ร้องจะบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 โดยอาศัยอำนาจแห่งการจำนองหาได้ไม่ แต่การบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาก็ไม่กระทบกระทั่งถึงสิทธิของผู้ร้อง (ผู้รับจำนอง)ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกตาม ป.วิ.พ. มาตรา 287.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3490/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่นำเงินค่าธรรมเนียมวางศาลภายในกำหนด แม้ศาลอนุญาตขยายเวลาแล้ว ถือเป็นเหตุไม่รับอุทธรณ์
จำเลยยื่นอุทธรณ์พร้อมกับคำร้องขอขยายเวลาการนำเงิน ค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายเวลา แต่จำเลยไม่นำเงินมาวางศาลภายในกำหนด และได้ยื่นคำร้องขอขยายเวลาเข้ามาอีกซึ่งเป็นวันพ้นกำหนดยื่นอุทธรณ์และวางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้ให้แก่โจทก์แล้วโดยไม่ปรากฏพฤติการณ์พิเศษและเหตุสุดวิสัยแต่อย่างใด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอขยายเวลาและไม่รับอุทธรณ์ คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์ของจำเลยไปศาลอุทธรณ์และเมื่อจำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นชอบแล้วให้ยกคำร้อง คำสั่งของศาลอุทธรณ์ดังกล่าว จึงเป็นคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์จำเลยคำสั่งศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236จำเลยฎีกาไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3483/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขฐานความผิดจากรับของโจรเป็นลักทรัพย์โดยตรงจากพยานหลักฐานที่ได้จากการพิจารณา
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานลักทรัพย์รับของโจร ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ลงโทษจำเลยฐานรับของโจร จำเลยฎีกาว่า จำเลยมิได้กระทำความผิดฐานรับของโจรศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่กระทำความผิดเข้าองค์ประกอบฐานลักทรัพย์ ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ ตาม ป.อ. มาตรา 334 ประกอบด้วยมาตรา 336 ทวิแต่ให้กำหนดโทษคงเดิมได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม.
of 46