คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
โสภณ จันเทรมะ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 419 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2224/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบรถจักรยานยนต์ที่ใช้เป็นพาหนะในการช่วยเหลือการกระทำความผิด ไม่ถือเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรง
จำเลยที่ 2 เพียงแต่ ใช้ รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นพาหนะไปส่งจำเลยที่ 1 เพื่อลักทรัพย์ของผู้เสียหายเท่านั้น หาได้ ใช้พาหนะดังกล่าวในการลักทรัพย์โดยตรงไม่ รถจักรยานยนต์ของกลางนั้นจึงถือ ว่าเป็นทรัพย์สินที่ใช้ ในการกระทำผิดอันจะพึงริบยังไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2152/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยกรณีผิดสัญญาประกันต่อศาล เนื่องจากคำวินิจฉัยศาลอุทธรณ์เป็นที่สุดตามกฎหมาย
กรณีผิดสัญญาประกันต่อ ศาล เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยอย่างใดแล้ว คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ย่อมเป็นที่สุดตาม ป.วิ.อ.มาตรา 119 ซึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อ.(ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532 มาตรา 4 ผู้ประกันยื่นฎีกาเมื่อเวลาที่พระราชบัญญัติดังกล่าวใช้ บังคับแล้ว ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2120/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องขับไล่ไม่เคลือบคลุม แม้ไม่ระบุรายละเอียดบ้าน เพราะจำเลยเข้าใจถึงบ้านที่ฟ้อง และคดีก่อนไม่วินิจฉัยเรื่องกรรมสิทธิ์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของบ้านไม่มีเลขที่ตั้ง อยู่ ถนนจำเริญวิถี ตำบลคลัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราชจังหวัด นครศรีธรรมราช ซึ่ง ปลูกอยู่ในที่ดินของ วัดหูน้ำ (ร้าง)จำเลยได้ เช่า บ้านโจทก์ดังกล่าว การที่จำเลยให้การว่าจำเลยอาศัยอยู่ในบ้านไม่มีเลขที่ ตั้ง อยู่ ถนนจำเริญวิถี ตำบลคลัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัด นครศรีธรรมราช ซึ่ง เป็นบ้านของจำเลยเองและปลูกอยู่ในที่ดิน วัดหูน้ำ (ร้าง) แสดงให้เห็นว่าจำเลยเข้าใจฟ้องของโจทก์ดี แล้วว่าบ้านที่โจทก์กล่าวในฟ้อง ก็คือบ้านที่จำเลยอาศัยอยู่ ฟ้องโจทก์จึงไม่จำต้องระบุลักษณะของบ้าน บริเวณและอาณาเขตที่ติดต่อ แต่ อย่างใด เป็นเรื่องที่โจทก์นำสืบได้ ในชั้นพิจารณา หาใช่เป็นฟ้องที่เคลือบคลุมไม่ คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากบ้านเลขที่ 1265 ข.ซึ่ง เป็นบ้านคนละหลังกับบ้านที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยในคดีนี้ ทั้งในคดีก่อนศาลมิได้วินิจฉัยในประเด็นว่า จำเลยเป็นเจ้าของบ้านหลังพิพาทไม่มีเลขที่ในคดีนี้แต่ อย่างใด การที่โจทก์นำสัญญาเช่าฉบับ เดิม ที่ฟ้องคดีก่อนมาฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านหลังพิพาทคดีนี้ จึงไม่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้ วินิจฉัยโดย อาศัยเหตุอย่างเดียวกันอันจะเป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2120/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องขับไล่ไม่เคลือบคลุม แม้ไม่ระบุรายละเอียดบ้าน เพราะจำเลยเข้าใจข้อกล่าวหา และคดีก่อนไม่ใช่ฟ้องซ้ำ
โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของบ้านไม่มีเลขที่ตั้งอยู่ ถนนจำเริญวิถี ตำบลคลัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราชจังหวัด นครศรีธรรมราช ซึ่ง ปลูกอยู่ในที่ดินของ วัดหูน้ำ (ร้าง)จำเลยได้เช่าบ้านโจทก์ดังกล่าว การที่จำเลยให้การว่า จำเลยอาศัยอยู่ในบ้านไม่มีเลขที่ ตั้งอยู่ ถนนจำเริญวิถี ตำบลคลัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัด นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นบ้านของจำเลยเองและปลูกอยู่ในที่ดิน วัดหูน้ำ (ร้าง) แสดงให้เห็นว่าจำเลยเข้าใจฟ้องของโจทก์ดีแล้วว่าบ้านที่โจทก์กล่าวในฟ้องก็คือบ้านที่จำเลยอาศัยอยู่ จำเลยจึงสามารถต่อสู้คดีได้ ว่าเป็นบ้านของจำเลยเอง ฟ้องโจทก์จึงไม่จำต้องระบุลักษณะของบ้าน บริเวณและอาณาเขตที่ติดต่อ แต่อย่างใดเพราะเป็นเรื่องที่โจทก์นำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม คดีก่อนโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านคนละหลังกับบ้านหลังพิพาทคดีนี้ ทั้งในคดีก่อนศาลมิได้วินิจฉัยในประเด็นว่าจำเลยเป็นเจ้าของบ้านหลังพิพาทคดีนี้ การที่โจทก์นำสัญญาเช่าฉบับเดิม ที่ฟ้องคดีก่อนมาฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านหลังพิพาทคดีนี้ จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 ที่จำเลยฎีกาว่าบ้านของโจทก์เป็นคนละหลังกับบ้านหลังพิพาทเพราะบ้านของโจทก์อยู่ริมถนนจำเริญวิถี แต่บ้านของจำเลยอยู่ ถนนสะเดียงทอง นั้น จำเลยเพิ่งยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา จึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลล่างทั้งสองศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2120/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องไม่เคลือบคลุมแม้ไม่ระบุรายละเอียดบ้าน และไม่เป็นฟ้องซ้ำหากคดีก่อนไม่วินิจฉัยเรื่องกรรมสิทธิ์
โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของบ้านไม่มีเลขที่ตั้งอยู่ ถนนจำเริญวิถี ตำบลคลัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของวัดหูน้ำ (ร้าง) จำเลยได้เช่าบ้านโจทก์ดังกล่าว การที่จำเลยให้การว่า จำเลยอาศัยอยู่ในบ้านไม่มีเลขที่ตั้งอยู่ ถนนจำเริญวิถี ตำบลคลัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นบ้านของจำเลยเองและปลูกอยู่ในที่ดินวัดหูน้ำ (ร้าง) แสดงให้เห็นว่าจำเลยเข้าใจฟ้องของโจทก์ดีแล้วว่าบ้านที่โจทก์กล่าวในฟ้องก็คือบ้านที่จำเลยอาศัยอยู่ จำเลยจึงสามารถต่อสู้คดีได้ ว่าเป็นบ้านของจำเลยเอง ฟ้องโจทก์จึงไม่จำต้องระบุลักษณะของบ้าน บริเวณและอาณาเขตที่ติดต่อแต่อย่างใดเพราะเป็นเรื่องที่โจทก์นำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านคนละหลังกับบ้านหลังพิพาทคดีนี้ ทั้งในคดีก่อนศาลมิได้วินิจฉัยในประเด็นว่าจำเลยเป็นเจ้าของบ้านหลังพิพาทคดีนี้ การที่โจทก์นำสัญญาเช่าฉบับเดิมที่ฟ้องคดีก่อนมาฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านหลังพิพาทคดีนี้ จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148
ที่จำเลยฎีกาว่าบ้านของโจทก์เป็นคนละหลังกับบ้านหลังพิพาทเพราะบ้านของโจทก์อยู่ริมถนนจำเริญวิถี แต่บ้านของจำเลยอยู่ถนนสะเดียงทองนั้น จำเลยเพิ่งยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา จึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลล่างทั้งสอง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2076/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานมีสุรากลั่น-แช่เป็นกรรมเดียว ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขคำพิพากษาแม้มิได้ยกขึ้นในชั้นอุทธรณ์
ความผิดในข้อหามีสุรากลั่นมีสุราแช่เป็นความผิดกรรมเดียวศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยมาสองกรรมเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขเสียให้ถูกต้อง ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2003/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงข้อหาจากวิ่งราวทรัพย์เป็นยักยอกทรัพย์ ศาลสามารถลงโทษได้หากไม่ต่างกันในสาระสำคัญ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาวิ่งราวทรัพย์แม้ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำความผิดฐาน ยักยอกตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ก็ตามแต่ การวิ่งราวทรัพย์หรือยักยอก ก็คือการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยเจตนาทุจริตเช่นเดียวกัน คงแตกต่าง กันแต่ เพียงเอาทรัพย์ไปโดยวิธีการฉกฉวย เอาซึ่งหน้า หรือด้วยวิธีครอบครองทรัพย์ของผู้อื่นแล้วเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตน จึงเป็นการแตกต่างกันมิใช่ในข้อสาระสำคัญ และทั้งจำเลยให้การต่อสู้คดีอ้างฐาน ที่อยู่จำเลยจึงมิได้หลงข้อต่อสู้ ศาลจึงลงโทษจำเลยฐานยักยอกตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2003/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงฐานความผิดจากวิ่งราวทรัพย์เป็นยักยอกทรัพย์ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจลงโทษได้หากไม่ถึงขั้นข้อสาระสำคัญ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาวิ่งราวทรัพย์ แม้ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำความผิดฐาน ยักยอกตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ก็ตามแต่ การวิ่งราวทรัพย์หรือยักยอก ก็คือการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยเจตนาทุจริตเช่นเดียวกัน คงแตกต่าง กันแต่ เพียงเอาทรัพย์ไปโดยวิธีการฉกฉวยเอาซึ่งหน้า หรือด้วยวิธีครอบครองทรัพย์ของผู้อื่นแล้วเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตน จึงเป็นการแตกต่างกันมิใช่ในข้อสาระสำคัญ และทั้งจำเลยให้การต่อสู้คดีอ้างฐานที่อยู่จำเลยจึงมิได้หลงข้อต่อสู้ ศาลจึงลงโทษจำเลยฐานยักยอกตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2003/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงฐานความผิดจากวิ่งราวทรัพย์เป็นยักยอกทรัพย์: ข้อสาระสำคัญและขอบเขตการลงโทษ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐาน วิ่งราว ทรัพย์ แต่ ทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐาน ยักยอกทรัพย์ ข้อสำคัญในความผิดฐาน วิ่งราว ทรัพย์กับยักยอกทรัพย์ก็คือการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดย เจตนาทุจริตเช่นเดียว กัน ต่างกันแต่ เพียงวิธีการเอาไปคือด้วย วิธีฉกฉวย เอาซึ่งหน้ากับด้วย วิธีครอบครองทรัพย์ของผู้อื่นแล้วเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตน จึงมิใช่แตกต่าง กันในข้อสาระสำคัญอันจะลงโทษจำเลยมิได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1953/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดจากพยานหลักฐานที่ไม่น่าเชื่อถือในคดีปล้นทรัพย์
ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน ไม่มีแสงสว่าง พยานโจทก์อ้างว่าเห็นหน้าคนร้ายด้วย แสงไฟฉายของคนร้าย จำคนร้ายได้ เพราะเป็นคนที่รู้จักมาก่อนแต่ พยานโจทก์ก็มิได้บอกความนี้แก่ผู้ใดรวมทั้งเจ้าพนักงานตำรวจ ทั้งไม่ปรากฏว่ามีการฉายไฟนานเท่าใดและฉายไฟ ในลักษณะใด จึงเห็นหน้าคนร้ายได้ ชัดเจน พยานหลักฐานเท่านี้ไม่พอรับฟังว่าพยานโจทก์จำได้ ว่าจำเลยเป็นคนร้าย.
of 42