พบผลลัพธ์ทั้งหมด 196 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3361/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีละเมิด: ผลการยกฟ้องคดีก่อนและระยะเวลาการฟ้องใหม่
การที่โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยในคดีก่อนแม้มีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา173(เดิม)ก็ตามแต่เมื่อศาลพิพากษายกฟ้องมาตรา174(เดิม)บัญญัติให้ไม่เป็นเหตุทำให้อายุความสะดุดหยุดลงแม้คดีก่อนศาลจะยกฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ก็ตามก็ยังต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148(3)บัญญัติไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1960/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือรับสภาพหนี้เปลี่ยนแปลงวิธีการชำระหนี้ อายุความ 5 ปี เริ่มนับแต่วันผิดนัดชำระหนี้แต่ละงวด
เมื่อจำเลยทั้งสองทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์แล้วการที่จำเลยที่1นำเงินไปชำระให้โจทก์และโจทก์รับเงินดังกล่าวไว้แสดงว่าโจทก์เองก็ยอมตกลงด้วยตามหนังสือรับสภาพหนี้หนังสือรับสภาพหนี้จึงผูกพันโจทก์ หนังสือรับสภาพหนี้ได้กำหนดเปลี่ยนแปลงวิธีการชำระหนี้ใหม่โดยการผ่อนทุนคืนเป็นงวดๆ สิทธิเรียกร้องโจทก์จึงมีกำหนด อายุความ5ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา193/33การที่จำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ตั้งแต่งวดแรกที่ต้องเริ่มชำระตั้งแต่วันที่15มีนาคม2520โจทก์จึงอาจบังคับสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้แต่ละงวดได้ตั้งแต่ครบกำหนดที่จำเลยทั้งสองต้องชำระหนี้ในงวดนั้นๆ สิทธิเรียกร้องในหนี้งวดใดที่พ้นอายุความ5ปีนับย้อนหลังแต่วันฟ้องขึ้นไปจึงเป็นอันขาดอายุความ เมื่อโจทก์มาฟ้องคดีในวันที่4พฤศจิกายน2535สิทธิเรียกร้องในหนี้งวดที่อยู่ภายในกำหนดอายุความ5ปีนับย้อนหลังแต่วันฟ้องที่ ไม่ขาดอายุความนั้นเมื่อคำนวณแล้วเป็นหนี้ไม่น้อยกว่าห้าหมื่นบาทโจทก์จึงฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองล้มละลายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 933/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความและผลของการมอบอำนาจ: การกระทำใดๆที่แสดงเจตนาชัดเจนถือเป็นการรับสภาพหนี้ ทำให้ระยะเวลาอายุความเริ่มต้นใหม่
โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาตามบันทึกหลังทะเบียนหย่ายกที่พิพาทให้แก่ พ. และ ว.ซึ่งเป็นบุตรโจทก์จำเลยจึงมีฐานะเป็นลูกหนี้ที่จะต้องโอนที่พิพาทให้แก่บุตรทั้งสองเมื่อโจทก์ทวงถามให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาจำเลยได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ไปดำเนินการโอนที่พิพาทให้แก่บุตรแทนจำเลยเป็นการกระทำการใดๆอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้อายุความย่อมสะดุดหยุดลง แม้ พ. ถึงแก่กรรมไปแล้วขณะที่จำเลยทำหนังสือมอบอำนาจซึ่งจำเลยได้ระบุผู้รับโอนที่พิพาทเป็น ว. เพียงคนเดียวในหนังสือมอบอำนาจอันแตกต่างไปจากสัญญาเดิม(ที่ระบุทั้ง ว. และ พ.)ก็หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์นำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา94ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 914/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเรียกเงินจากบัตรเครดิต: ผู้ค้าเรียกค่าทดรองจ่าย - สิทธิเรียกร้องขาดอายุความเมื่อฟ้องพ้น 2 ปี
โจทก์มีวัตถุประสงค์ในการให้บริการสินเชื่อในรูปของบัตรเครดิตโดยโจทก์ออกบัตรให้แก่สมาชิกแล้วสมาชิกของโจทก์สามารถนำบัตรไปใช้บริการซื้อสินค้าจากร้านค้าที่ตกลงรับบัตรของโจทก์โดยสมาชิกไม่ต้องชำระราคาสินค้าเป็นเงินสดโจทก์เป็นผู้ชำระเงินแทนสมาชิกไปก่อนแล้วจึงเรียกเก็บเงินจากสมาชิกภายหลังและสมาชิกสามารถนำบัตรไปถอนเงินสดจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ที่ธนาคารโดยผ่านเครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติการให้บริการดังกล่าวแก่สมาชิกของโจทก์โจทก์ได้เรียกเก็บค่าบริการหรือค่าธรรมเนียมรายปีด้วยโจทก์จึงเป็นผู้ค้ารับทำการงานต่างๆให้แก่สมาชิกและการที่โจทก์ได้ชำระเงินแก่เจ้าหนี้ของสมาชิกแทนสมาชิกไปก่อนแล้วจึงเรียกเก็บเงินจากสมาชิกภายหลังเป็นการเรียกเอาค่าที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองไปดังนั้นที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินดังกล่าวจากจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสมาชิกของโจทก์ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ค้ารับทำการงานต่างๆเรียกเอาค่าที่ได้ออกเงินทดรองไปสิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงมีอายุความ2ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา165(7)เดิมที่ใช้อยู่ในขณะที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้จำเลยทั้งสองชำระหนี้แก่โจทก์ครั้งสุดท้ายเป็นบางส่วนเมื่อวันที่23มีนาคม2530อันเป็นการรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงและเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่ตั้งแต่วันดังกล่าวโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่19ตุลาคม2532พ้นกำหนด2ปีแล้วสิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงขาดอายุความ จำเลยทั้งสองเป็นลูกหนี้ร่วมมูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้จำเลยที่1เป็นสมาชิกบัตรเครดิตจำเลยที่2เป็นสมาชิกบัตรเสริมของโจทก์สิทธิเรียกร้องของโจทก์ต่อจำเลยทั้งสองเป็นอย่างเดียวกันการที่จำเลยที่2ยกอายุความขึ้นต่อสู้ถือได้ว่าจำเลยที่1ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้แล้วเช่นกันแม้จำเลยที่1มิได้ฎีกาแต่เมื่อคดีของโจทก์ขาดอายุความศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่1ได้ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา245(1),247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 360/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือรับสภาพหนี้ใช้บังคับได้แม้ไม่มีผู้มอบอำนาจ และอายุความเริ่มนับใหม่เมื่อมีหนังสือรับสภาพหนี้
หนังสือรับสภาพหนี้เป็นหนังสือที่ลูกหนี้ทำขึ้นโดยยอมรับว่าตนเป็นหนี้เจ้าหนี้จริงเจ้าหนี้หาจำต้องมาเป็นคู่สัญญาหรือมอบอำนาจให้บุคคลใดมาเป็นคู่สัญญาแทนไม่ โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนองเป็นประกันหนี้ของบริษัท ส. ที่ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้ไว้แก่โจทก์มิได้ฟ้องเรียกหนี้ตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิตและจำเลยมิได้ปฏิเสธว่าบริษัท ส. มิได้เปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิตกับโจทก์ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองรับข้อเท็จจริงนั้นแล้วคดีไม่จำต้องอาศัยพยานหลักฐานอื่นอีกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตจะปิดอากรแสตมป์หรือไม่ไม่ทำให้ผลการวินิจฉัยคดีเปลี่ยนแปลงจึงไม่ต้องวินิจฉัยว่ารับฟังเล็ตเตอร์ออฟเครดิตเป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่หนี้ตามสัญญาเล็ตเตอร์ออฟเครดิตไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีอายุความ10ปีตามมาตรา164เดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 360/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อากรแสตมป์ใบมอบอำนาจ, หนังสือรับสภาพหนี้, เล็ตเตอร์ออฟเครดิต, อายุความหนี้
ใบมอบอำนาจให้บุคคลหลายคนกระทำการแทนมากกว่าครั้งเดียวจะต้องปิดอากรแสตมป์คิดตามรายตัวบุคคลที่รับมอบอำนาจคนละ 30 บาท
หนังสือรับสภาพหนี้เป็นหนังสือที่ลูกหนี้ทำขึ้นโดยยอมรับว่าตนเป็นหนี้เจ้าหนี้จริง เจ้าหนี้หาจำต้องมาเป็นคู่สัญญาหรือมอบอำนาจให้บุคคลใดมาเป็นคู่สัญญาแทนไม่
โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนองเป็นประกันหนี้ของบริษัท ส. ที่ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้ไว้แก่โจทก์ มิได้ฟ้องเรียกหนี้ตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิตและจำเลยมิได้ปฏิเสธว่าบริษัท ส.มิได้เปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิตกับโจทก์ ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองรับข้อเท็จจริงนั้นแล้ว คดีไม่จำต้องอาศัยพยานหลักฐานอื่นอีก เล็ตเตอร์ออฟเครดิตจะปิดอากรแสตมป์หรือไม่ ไม่ทำให้ผลการวินิจฉัยคดีเปลี่ยนแปลง จึงไม่ต้องวินิจฉัยว่ารับฟังเล็ตเตอร์ออฟเครดิตเป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่
หนี้ตามสัญญาเล็ตเตอร์ออฟเครดิตไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 164 เดิม
หนังสือรับสภาพหนี้เป็นหนังสือที่ลูกหนี้ทำขึ้นโดยยอมรับว่าตนเป็นหนี้เจ้าหนี้จริง เจ้าหนี้หาจำต้องมาเป็นคู่สัญญาหรือมอบอำนาจให้บุคคลใดมาเป็นคู่สัญญาแทนไม่
โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนองเป็นประกันหนี้ของบริษัท ส. ที่ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้ไว้แก่โจทก์ มิได้ฟ้องเรียกหนี้ตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิตและจำเลยมิได้ปฏิเสธว่าบริษัท ส.มิได้เปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิตกับโจทก์ ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองรับข้อเท็จจริงนั้นแล้ว คดีไม่จำต้องอาศัยพยานหลักฐานอื่นอีก เล็ตเตอร์ออฟเครดิตจะปิดอากรแสตมป์หรือไม่ ไม่ทำให้ผลการวินิจฉัยคดีเปลี่ยนแปลง จึงไม่ต้องวินิจฉัยว่ารับฟังเล็ตเตอร์ออฟเครดิตเป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่
หนี้ตามสัญญาเล็ตเตอร์ออฟเครดิตไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 164 เดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 317/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความ: เช็คชำระหนี้ตามสัญญาดังกล่าว ไม่ใช่เช็คจากการกู้ยืมเงินผิดกฎหมาย
แม้เอกสารที่จำเลยทำไว้กับโจทก์จะใช้ชื่อว่าหนังสือรับสภาพหนี้แต่การทำหนังสือดังกล่าวเกิดขึ้นจากการที่โจทก์ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยและโจทก์เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับอัยการศาลทหารกรุงเทพดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยที่ออกเช็คชำระหนี้แก่โจทก์และโจทก์ไม่ได้รับเงินตามเช็คเมื่อมีการไกล่เกลี่ยโจทก์และจำเลยตกลงในยอดหนี้ใหม่กันได้จำเลยตกลงชำระหนี้ให้โจทก์เป็นเช็ครวม37ฉบับโจทก์จึงถอนคำร้องทุกข์ในคดีอาญาดังกล่าวกรณีเป็นที่เห็นได้ชัดว่าหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวเป็น ข้อตกลงระหว่างโจทก์และจำเลยเพื่อที่จะ ระงับข้อพิพาทที่มีขึ้นตามมูลหนี้ซึ่งโจทก์และจำเลยได้พิพาทกันจนมีการดำเนินคดีอาญาให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันเอกสารดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา850เมื่อเช็คพิพาทที่นำมาฟ้องคดีนี้เป็นคดีที่จำเลยชำระหนี้ตามมูลหนี้ในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวและ ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้นจำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้และเมื่อจำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความจึงมิใช่การออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่เกิดจากการกู้ยืมเงินและเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราอันเป็นเช็คที่มี มูลหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังที่จำเลยนำสืบต่อสู้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 317/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือรับสภาพหนี้ที่เกิดจากการไกล่เกลี่ยคดีอาญา มีผลเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ เช็คชำระหนี้ตามสัญญามีผลผูกพัน
แม้เอกสารที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ จะใช้ชื่อว่า หนังสือรับสภาพหนี้แต่การทำหนังสือดังกล่าวเกิดขึ้นจากการที่โจทก์ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีอาญาแก่จำเลย และโจทก์เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับอัยการศาลทหารกรุงเทพดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยที่ออกเช็คชำระหนี้แก่โจทก์และโจทก์ไม่ได้รับเงินตามเช็ค เมื่อมีการไกล่เกลี่ย โจทก์และจำเลยตกลงในยอดหนี้ใหม่กันได้ จำเลยตกลงชำระหนี้ให้โจทก์เป็นเช็ครวม 37 ฉบับ โจทก์จึงถอนคำร้องทุกข์ในคดีอาญาดังกล่าว กรณีเป็นที่เห็นได้ชัดว่า หนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวเป็นข้อตกลงระหว่างโจทก์และจำเลยเพื่อที่จะระงับข้อพิพาทที่มีขึ้นตามมูลหนี้ซึ่งโจทก์และจำเลยได้พิพาทกันจนมีการดำเนินคดีอาญาให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน เอกสารดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอม-ยอมความตาม ป.พ.พ. มาตรา 850 เมื่อเช็คพิพาทที่นำมาฟ้องคดีนี้เป็นคดีที่จำเลยชำระหนี้ตามมูลหนี้ในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว และธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้น จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ และเมื่อจำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงมิใช่การออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่เกิดจากการกู้ยืมเงินและเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราอันเป็นเช็คที่มีมูลหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังที่จำเลยนำสืบต่อสู้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5631/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความสัญญาชดใช้ทุนรัฐบาล: เริ่มนับเมื่อมีสิทธิเรียกร้อง การยอมรับหนี้ไม่เกิดขึ้นจากโทรเลข
จำเลยที่ 1 ได้รับทุนของรัฐบาลประเทศออสเตรเลีย ภายใต้แผนโคลัมโบเพื่อไปศึกษาที่ประเทศออสเตรเลีย โดยมีข้อสัญญากับโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 สำเร็จการศึกษาแล้วจะต้องกลับมารับราชการกับโจทก์ หากไม่กลับมายอมคืนเงินค่าใช้จ่ายเต็มจำนวนทันที โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาจำเลยที่ 1 สำเร็จการศึกษาเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2512 และโจทก์อนุมัติให้ลาศึกษาต่อที่ประเทศหกรัฐอเมริกาอีก 2 ปี หลังจากครบกำหนดแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่กลับมารับราชการกับโจทก์ตามสัญญา ดังนี้ ตามสัญญาดังกล่าว โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เงินค่าใช้จ่ายทันทีเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่กลับมารับราชการอายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2514 อันเป็นวันที่โจทก์อาจบังคับใช้สิทธิเรียกร้องตามสัญญาได้ โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2532 จึงพ้นกำหนด10 ปี ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 164เดิมแล้ว
โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญาการที่จำเลยที่ 1 ส่งโทรเลขถึงโจทก์ว่า ได้ทราบข้อความในจดหมายแล้วจะกลับมาติดต่อกับโจทก์โดยเร็วนั้น ข้อความในโทรเลขเป็นเพียงการตอบโจทก์ว่าจะติดต่อกับโจทก์เท่านั้น ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 รับสภาพหนี้ต่อโจทก์ และถือไม่ได้เป็นการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยว่ายอมรับสภาพหนี้ต่อโจทก์อายุความจึงไม่สะดุดหยุดลง
โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญาการที่จำเลยที่ 1 ส่งโทรเลขถึงโจทก์ว่า ได้ทราบข้อความในจดหมายแล้วจะกลับมาติดต่อกับโจทก์โดยเร็วนั้น ข้อความในโทรเลขเป็นเพียงการตอบโจทก์ว่าจะติดต่อกับโจทก์เท่านั้น ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 รับสภาพหนี้ต่อโจทก์ และถือไม่ได้เป็นการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยว่ายอมรับสภาพหนี้ต่อโจทก์อายุความจึงไม่สะดุดหยุดลง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5631/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องหนี้จากการค้ำประกันสัญญาทุนการศึกษา: เริ่มนับเมื่อสัญญาครบกำหนดและโจทก์มีสิทธิเรียกร้อง
จำเลยที่ 1 ได้รับทุนของรัฐบาล ประเทศออสเตรเลีย ภายใต้แผนโคลัมโบเพื่อไปศึกษาที่ประเทศออสเตรเลีย โดยมีข้อสัญญากับโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 สำเร็จการศึกษาแล้วจะต้องกลับมารับราชการกับโจทก์ หากไม่กลับมายอมคืนเงินค่าใช้จ่ายเต็มจำนวนทันที โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาจำเลยที่ 1 สำเร็จการศึกษาเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2512 และโจทก์อนุมัติให้ลาศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกาอีก 2 ปี หลังจากครบกำหนดแล้ว จำเลยที่ 1ไม่กลับมารับราชการกับโจทก์ตามสัญญา ดังนี้ ตามสัญญาดังกล่าวโจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เงินค่าใช้จ่ายทันทีเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่กลับมารับราชการอายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2514 อันเป็นวันที่โจทก์อาจบังคับใช้สิทธิเรียกร้องตามสัญญาได้ โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2532จึงพ้นกำหนด 10 ปี ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิมแล้ว โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญาการที่จำเลยที่ 1 ส่งโทรเลขถึงโจทก์ว่า ได้ทราบข้อความในจดหมายแล้วจะกลับมาติดต่อกับโจทก์โดยเร็วนั้น ข้อความในโทรเลขเป็นเพียงการตอบโจทก์ว่าจะติดต่อกับโจทก์เท่านั้น ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 รับสภาพหนี้ต่อโจทก์ และถือไม่ได้เป็นการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยว่ายอมรับสภาพหนี้ต่อโจทก์อายุความจึงไม่สะดุดหยุดลง