คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อภิศักดิ์ พรวชิราภา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 182 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1439/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้ห้องชุดเป็นสำนักงาน: การยินยอมโดยปริยายและข้อยกเว้นข้อบังคับอาคารชุด
ข้อบังคับนิติบุคคลอาคารชุดของโจทก์ ข้อ 7 ระบุว่า"การใช้ทรัพย์ส่วนบุคคลเจ้าของห้องชุดมีสิทธิที่จะใช้ห้องชุดและทรัพย์ส่วนบุคคลของตนได้ ภายใต้ระเบียบข้อบังคับ สำหรับการพักอาศัยเท่านั้น และจะไม่ใช้ห้องชุด ไปประกอบกิจการอื่นใดที่จะเป็นการน่ารังเกียจรบกวนต่อ บุคคลอื่นหรือเป็นการเสียหายต่อนิติบุคคลอาคารชุดเว้นแต่ว่าห้องชุดดังกล่าวทางนิติบุคคลอาคารชุดได้จัดหาไว้เป็นพิเศษเพื่อใช้ประกอบกิจการอื่นได้ ทั้งนี้ การประกอบกิจการจะต้องได้รับอนุญาตจากทางนิติบุคคลอาคารชุด และไม่เป็นที่น่ารังเกียจ รบกวนต่อผู้อื่น หรือเป็นการเสียหาย ต่อนิติบุคคลอาคารชุด" การที่บริษัทจำเลยนำถังแกลลอนแบบใส่น้ำมันเครื่องยนต์ ซึ่งบรรจุสินค้าของจำเลยโดยที่ฝาของถังแกลลอนมีซีลกระดาษตะกั่วปิดอยู่ และสินค้าของจำเลย ไม่มีกลิ่นเคมีภัณฑ์ นอกจากนั้นถังแกลลอนที่บรรจุสินค้าของจำเลยก็มีขนาดกะทัด รัดไม่กินเนื้อที่มาก ประกอบกับการขนถ่ายสินค้าของจำเลยโดยใช้รถยนต์บรรทุกขนาดเล็กก็ไม่เป็นที่รบกวนและกีดขวางเจ้าของร่วมคนอื่น ทั้งห้องชุดพิพาทมีห้องของโจทก์ จำเลย และบุคคลอีกคนหนึ่ง ซึ่งอยู่ที่ชั้น 3 เท่านั้น ดังนั้น ถ้าโจทก์อ้างว่า การขนถ่ายสินค้าของจำเลยเป็นการรบกวนต่อผู้อื่นแล้ว ก็น่าที่จะนำผู้ที่พักอาศัยในห้องชุดชั้นที่ 3 มาเบิกความ สนับสนุนคำกล่าวอ้างด้วย แต่โจทก์หาได้นำมาไม่ พยานหลักฐาน ของโจทก์จึงขาดน้ำหนัก ไม่อาจรับฟังได้ว่าการขนถ่ายสินค้า ของจำเลยเป็นการรบกวนผู้อื่น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับนิติบุคคลอาคารชุดของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1322/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขอเพิกถอนคำสั่งอนุญาตชำระหนี้ที่ศาลสั่งโดยผิดหลงในคดีล้มละลาย
พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 108 บัญญัติว่า "คำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ซึ่งศาลสั่งอนุญาตแล้วนั้น ถ้าต่อมาปรากฏว่าศาลได้สั่งไปโดยผิดหลง เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำขอโดยทำเป็นคำร้อง ศาลมีอำนาจยกคำขอรับชำระหนี้หรือลดจำนวนหนี้ที่ได้สั่งอนุญาตไปแล้วได้" จะเห็นได้ว่าบทบัญญัติมาตรานี้ให้อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่จะยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ยกคำขอรับชำระหนี้หรือลดจำนวนหนี้ที่ศาลได้สั่งอนุญาตไปแล้วได้ แม้คำสั่งศาลดังกล่าวจะถึงที่สุดก็ตาม ถ้าปรากฏว่าศาลมีคำสั่งอนุญาตคำขอรับชำระหนี้โดยผิดหลงว่าลูกหนี้เป็นหนี้ตามจำนวนที่อนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ ความจริงลูกหนี้มิได้เป็นหนี้หรือเป็นหนี้ไม่ถึงจำนวนที่อนุญาตให้รับชำระหนี้ ศาลมีอำนาจที่จะมีคำสั่งใหม่ให้ยกคำขอรับชำระหนี้หรือลดจำนวนหนี้ที่ได้สั่งอนุญาตไปแล้วได้ ทั้งนี้เพื่อความเป็นธรรมแก่บรรดาเจ้าหนี้ทั้งหลายที่ขอรับชำระหนี้ เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีนี้เห็นว่ามูลหนี้ที่ผู้คัดค้านยื่นคำขอรับชำระหนี้มีข้อพิรุธสงสัยน่าเชื่อว่าจะไม่มีมูลหนี้ต่อกันจริง ที่ศาลมีคำสั่งถึงที่สุดให้ผู้คัดค้านได้รับชำระหนี้น่าจะเป็นการสั่งไปโดยผิดหลง ดังนั้น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงชอบที่จะยื่นคำร้องขอให้ศาลยกคำขอรับชำระหนี้ที่ศาลได้สั่งอนุญาตไปแล้วได้
อย่างไรก็ดี เมื่อศาลพิจารณาจากพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงในสำนวนแล้วพบว่าลูกหนี้เป็นหนี้ผู้คัดค้านจริง ที่ศาลมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้นั้นไม่ได้สั่งโดยผิดหลง ศาลก็ชอบที่จะยกคำร้องของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1322/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขอให้ยกคำขอรับชำระหนี้ แม้ศาลสั่งอนุญาตถึงที่สุดแล้ว หากมีเหตุผลเชื่อได้ว่าเป็นการสั่งโดยผิดหลง
พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 108 ให้อำนาจ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ร้องที่จะยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ยกคำขอรับชำระหนี้หรือลดจำนวนหนี้ที่ศาลได้สั่งอนุญาตไปแล้วได้ แม้คำสั่งศาลดังกล่าวจะถึงที่สุดก็ตาม ถ้าปรากฏว่าศาลมีคำสั่งอนุญาตคำขอรับชำระหนี้โดยหลงผิดว่าลูกหนี้เป็นหนี้ตามจำนวนที่อนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ความจริงลูกหนี้มิได้เป็นหนี้หรือเป็นหนี้ไม่ถึงจำนวนที่อนุญาตให้รับชำระหนี้ ศาลมีอำนาจที่จะมีคำสั่งใหม่ให้ยกคำขอรับชำระหนี้ลดจำนวนหนี้ที่ได้สั่งอนุญาตไปแล้วได้ ทั้งนี้เพื่อความเป็นธรรมแก่บรรดาเจ้าหนี้ทั้งหลายที่ขอรับชำระหนี้ คดีนี้ปรากฏว่าผู้ร้องตรวจสอบพยานหลักฐานที่ผู้คัดค้านอ้างต่อผู้ร้องในชั้นสอบสวน และเห็นว่าใบกำกับสินค้าอันเกี่ยวกับหนี้ที่ผู้คัดค้านขอรับชำระหนี้ไม่มีลายมือชื่อของลูกหนี้ ทั้งแถบบันทึกเสียงการสนทนาระหว่าง อ.กับลูกหนี้และท. ที่เมืองฮ่องกง นั้นลูกหนี้ก็ได้อ้างหนังสือเดินทางของตนเป็นพยานหลักฐานแสดงให้เห็นว่าในวันดังกล่าวลูกหนี้ไม่ได้เดินทางออกจากประเทศไทย อันแสดงให้เห็นว่ามูลหนี้ที่ผู้คัดค้านยื่นคำขอรับชำระหนี้มีข้อพิรุธสงสัยน่าเชื่อว่าจะไม่มีมูลหนี้ต่อกันจริงผู้ร้องจึงชอบที่จะยื่นคำร้องขอให้ศาลยกคำขอรับชำระหนี้ที่ศาลได้สั่งอนุญาตไปแล้วได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1289/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาบุคคลล้มละลาย: การมีหนี้สินล้นพ้นตัวและการประกอบอาชีพหารายได้
แม้จำเลยจะเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วซึ่งเป็นหนี้ที่ผูกพันจำเลยอันถือว่าเป็นหนี้จำนวนแน่นอนและเป็นหนี้โจทก์ไม่น้อยกว่าห้าหมื่นบาทก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดทรัพย์ของจำเลยแล้วและได้ถอนการยึดทรัพย์เสียกรณีจึงไม่เข้าข้อที่จะสันนิษฐานไว้ก่อนว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8(5) เมื่อโจทก์ขอถอนการ ยึดทรัพย์แล้ว ต่อมาจำเลยได้นำเงินจำนวน 170,000 บาท มาชำระแก่โจทก์ ซึ่งเป็นจำนวนที่ยังไม่ครบตามคำพิพากษา ประกอบกับภายหลังที่โจทก์บังคับคดียึดทรัพย์แล้ว โจทก์ไม่ได้ ยึดทรัพย์ของจำเลยรายการอื่น ๆ อีก แม้ภายหลังที่โจทก์ ฟ้องคดีแล้วจะทราบว่าจำเลยมีที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งเป็นทรัพย์ที่จำนองไว้กับโจทก์ยังเป็นทรัพย์ติดจำนองอยู่ แต่จำเลยก็ได้ผ่อนชำระเป็นรายเดือนมาโดยตลอดประกอบกับปัจจุบันจำเลยมีอาชีพเป็นผู้จัดการเขตของบริษัท ท.จำเลยยังมีทรัพย์สินและประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่งมีรายได้แน่นอนเพียงพอที่จะขวนขวายนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ได้ทั้งไม่มีข้อเท็จจริงใด ๆ ที่พอจะแสดงได้ว่าจำเลยยังเป็นหนี้บุคคลหรือเจ้าหนี้รายอื่นอีก ข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานโจทก์จึงยังไม่เพียงพอแก่การพิจารณาหาความจริงว่าจำเลยเป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัวและสมควรจะเป็นบุคคลล้มละลายหรือไม่ ตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 14

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1186/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา พยานจำได้จากเหตุการณ์กลางวัน ชี้ตัวผู้ต้องหาได้
ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวันพยานโจทก์และโจทก์ร่วม ทั้งสามมีโอกาสได้เห็นหน้าจำเลยในลักษณะเต็มใบหน้าในท่าตรง ในระยะใกล้เป็นเวลานานพอสมควร เมื่อเจ้าพนักงาน ตำรวจจับกุมจำเลยได้ พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสาม ก็สามารถชี้ตัวจำเลยได้ถูกต้องโดยระบุว่าจำเลยไม่ใช่ คนร้ายที่ใช้มีดแทงผู้ตาย แต่เป็นคนนั่งซ้อนท้าย รถจักรยานยนต์ไปกับคนร้ายที่ใช้มีดแทงผู้ตาย พยานโจทก์ และโจทก์ร่วมทั้งสามเบิกความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกัน ประกอบ กับพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามไม่มีสาเหตุโกรธเคือง กับจำเลยจึงไม่มีเหตุที่พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามจะ แกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยให้ต้องรับโทษคำเบิกความ ของพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามจึงมีน้ำหนักฟังได้ จำเลยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปกับคนร้ายอีก 2 คนและหลังจากคนร้ายที่นั่งซ้อนท้าย รถจักรยานยนต์เป็นคนที่สองใช้มีดแทงผู้ตายแล้ว จำเลยนั่งซ้อนท้าย รถจักรยานยนต์หลบหนีไปกับคนร้าย 2 คนนั้นด้วย แสดงให้เห็นว่าจำเลยร่วมรู้เห็นกับคนร้ายในการไปฆ่าผู้ตาย เพราะตามปกติ วิสัยคนร้ายที่จะไปกระทำความผิดจะไม่นำบุคคล ที่ไม่ได้เป็นพวกเดียวกันไปด้วยเพื่อให้รู้เห็นการกระทำ ความผิดของตน และการที่คนร้ายใช้มีดแทงผู้ตายก็อยู่ ในความรู้เห็นของจำเลย แต่จำเลยก็ยังนั่งซ้อนท้าย รถจักรยานยนต์คนร้ายหลบหนีไปด้วยกัน ถือได้ว่าจำเลยได้ร่วม คบคิดกับคนร้ายอีก 2 คน ไปฆ่าผู้ตายมาตั้งแต่ต้น จำเลยจึงมี ความผิดฐานร่วมกับพวกฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1185/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกทำร้ายร่างกายในบ้านพักอาศัย ศาลฎีกาวินิจฉัยเป็นกรรมเดียวและแก้ไขโทษ
การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปทำร้าย อ. ผู้เสียหายที่ 2ถึงในบ้านซึ่งเป็นที่พักอาศัยของ น. ผู้เสียหายที่ 1และผู้เสียหายที่ 2 ในเวลากลางคืน นับว่าเป็นการกระทำผิดอย่างอุกอาจ ไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมาย ทั้งจำเลยยังเลือกทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 ที่ใบหน้าอันเป็นอวัยวะสำคัญการกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำความผิดร้ายแรงไม่สมควรรอการลงโทษ การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายทั้งสองแล้ว ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายทั้งสองเพราะมีเจตนา จะกระทำการอย่างอื่น จึงต้องถือว่าจำเลยเข้าไปในบ้านของ ผู้เสียหายโดยมีเจตนาอันแท้จริงเพื่อทำร้ายร่างกาย ผู้เสียหายที่ 2 เท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ลงโทษแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แม้ปัญหา ดังกล่าวจะไม่มีคู่ความใดฎีกา แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง,215 และ 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1159/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทรัพย์สินจากการกระทำผิด: ศาลริบเงินจากการจำหน่ายยาเสพติด แม้ไม่ใช่ของกลางในคดีปัจจุบัน
เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมกับยึดได้เงินสดของกลาง จากจำเลยที่ 1 และในชั้นจับกุม จำเลยที่ 1 รับว่าเงินสดของกลางจำเลยที่ 1 ได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนก่อนที่ถูกจับในคดีนี้ เงินสดของกลางจึงเป็นทรัพย์สินซึ่งจำเลยที่ 1 ได้มาโดยการกระทำความผิดเพราะการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนอันเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย แม้จะไม่ได้มาโดยการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนในคดีนี้โดยตรงก็ตาม ศาลก็มีอำนาจริบเงินสดของกลางดังกล่าวได้ตาม ป.อ.มาตรา 33 (2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1159/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมกันกระทำผิดยาเสพติด: จำเลยที่ 2 ไม่มีความผิดฐานร่วมกระทำความผิด และการริบเงินจากการจำหน่ายยาเสพติด
เจ้าพนักงานตำรวจแอบดูเห็นจำเลยที่ 1 ยืนพูดโทรศัพท์ จำเลยที่ 2 ยืนอยู่กลางห้อง เจ้าพนักงานตำรวจเคาะประตู ให้เปิดประตู จำเลยที่ 2 ตะโกนบอกจำเลยที่ 1 ว่า "ตำรวจมา" แล้วจำเลยที่ 1 หยิบถุงพลาสติกเข้าไปในห้องน้ำและ ทิ้งถุงพลาสติก 11 ถุงที่ภายในบรรจุเมทแอมเฟตามีนลงในโถส้วม ขณะนั้นจำเลยที่ 2 เดินเข้าไปในห้องนอนไม่ได้เข้าไปมีส่วน ช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ในการซุกซ่อนหรือทำลายเมทแอมเฟตามีน หรือช่วยปกปิดการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 การที่ จำเลยที่ 2 ตะโกนว่า "ตำรวจมา" ไม่ได้หมายความว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิด เพราะเป็นการ ตะโกนบอกไปตามความเป็นจริง และไม่พบสิ่งผิดกฎหมายใด ๆจากจำเลยที่ 2 ทั้งจำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธตลอดมา จำเลยที่ 2 จึงไม่ได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยพร้อมยึดได้เมทแอมเฟตามีนและเงินสดจำนวน 3,500 บาท จำเลยรับว่าได้เงินดังกล่าวมาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนก่อนที่ถูกจับในคดีนี้เงินสดดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้มาโดยการกระทำความผิดกฎหมายแม้จะไม่ได้มาโดยการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ในคดีนี้โดยตรงก็ตาม ศาลก็มีอำนาจริบเงินสดดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1159/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบเงินสดที่ได้จากการจำหน่ายยาเสพติด แม้ไม่ใช่ของกลางในคดีปัจจุบัน
เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมกับยึดได้เงินสด ของกลาง จากจำเลยที่ 1 และในชั้นจับกุม จำเลยที่ 1 รับว่า เงินสดของกลางจำเลยที่ 1 ได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ก่อนที่ถูกจับในคดีนี้ เงินสดของกลางจึงเป็นทรัพย์สิน ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้มาโดยการกระทำความผิดเพราะการจำหน่าย เมทแอมเฟตามีนอันเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย แม้จะไม่ได้มา โดยการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนในคดีนี้โดยตรงก็ตามศาลก็มีอำนาจริบเงินสดของกลางดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 984/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อสันนิษฐานเด็ดขาดเรื่องยาเสพติด: การมียาเสพติดเกิน 20 กรัม ถือว่ามีไว้เพื่อจำหน่าย
ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 เป็น ข้อสันนิษฐานเด็ดขาดของกฎหมายที่ให้ถือว่าถ้ามียาเสพติด ให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเป็นสารบริสุทธิ์ตั้งแต่ 20 กรัมขึ้นไป ให้ถือว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย มิได้บัญญัติว่าถ้ามีไว้ในครอบครองไม่ถึง 20 กรัม แม้จะจำหน่าย ก็จะฟังว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายไม่ได้
of 19