พบผลลัพธ์ทั้งหมด 15 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1274/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือรับสภาพหนี้, อายุความ, อำนาจฟ้อง: ศาลฎีกายืนตามศาลล่าง ฟ้องไม่เคลือบคลุม ไม่ขาดอายุความ
บรรยายฟ้องว่าให้จำเลยชำระหนี้ค่าซื้อสินค้าเป็นเงินเชื่อที่ค้างชำระตามหนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ระบุจำนวนหนี้ที่ค้างอยู่อย่างชัดแจ้งเป็นคำฟ้องที่ไม่เคลือบคลุม หนังสือรับสภาพหนี้กำหนดให้ชำระหนี้ทั้งหมดภายในวันที่31ธันวาคม2521เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดดังกล่าวเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงจึงสิ้นสุดลงในวันที่31ธันวาคม2521ต้องเริ่มนับหนึ่งตั้งแต่วันรุ่งขึ้น หนังสือมอบอำนาจของโจทก์ให้ฟ้องเรียกให้จำเลยชำระหนี้ค่าสินค้าซึ่งจำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ว่ายังเป็นหนี้ค่าสินค้าคือค่าน้ำมันและปรากฏว่าจำเลยยังมิได้ชำระแก่โจทก์(ผู้รับมอบอำนาจ)โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องหรือมอบอำนาจให้ผู้ใดฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ได้ ตามหนังสือรับสภาพหนี้ระบุให้โจทก์ฟ้องคดีต่อศาลแพ่งซึ่งโจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยคดีนี้ต่อศาลแพ่ง หนังสือรับสภาพหนี้ที่ระบุชัดแจ้งว่าจำเลยยอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์ว่าจำเลยเป็นหนี้ค่าสินค้าจำนวนแน่นอนอยู่จริงเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ที่ใช้ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 62/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับขนสินค้า, ส่วนได้เสีย, ข้อจำกัดความรับผิด, การรับช่วงสิทธิ, คำให้การปฏิเสธ
คำให้การของจำเลยที่ว่า "จำเลยไม่ทราบและไม่ขอรับรอง" เป็นคำให้การที่ไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง ถือไม่ได้ว่าจำเลยให้การปฏิเสธจึงรับฟังข้อเท็จจริงได้ตามฟ้อง
บริษัท ด. และบริษัท อ. ร่วมทุนกันดำเนินธุรกิจขนส่งทางทะเล ใช้ชื่อทางการค้าว่าสายเดินเรือเมอสก์ และเรือซึ่งบรรทุกสินค้ารายนี้เป็นของสายเดินเรือเมอสก์ บริษัททั้งสองซึ่งร่วมทุนกันดังกล่าวจึงเป็นผู้รับขนสินค้ารายนี้ และถือได้ว่าจำเลยซึ่งเป็นสำนักงานสาขาของบริษัททั้งสองนั้นเป็นผู้รับขนสินค้ารายนี้ด้วย
การที่บริษัท ย. เป็นผู้สั่งสินค้าตามฟ้องเข้ามาจากประเทศสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต ต่อ อินเตอร์เนชั่นแนลแบงค์ออฟไชน่า ถือได้ว่า บริษัท ย. เป็นผู้มีส่วนได้เสียในสินค้าที่เอาประกันไว้นั้น
ข้อจำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งในใบตราส่งที่พิมพ์เพิ่มเติมขึ้นจากแบบพิมพ์เดิมโดยไม่ปรากฏการรับรู้ของผู้ส่งหรือผู้ตราส่ง จะฟังว่าผู้ส่งหรือผู้ตราส่งตกลงด้วยในข้อจำกัดความรับผิดของจำเลยซึ่งเป็นผู้ขนส่งหาได้ไม่ และเมื่อข้อจำกัดความรับผิดนั้นไม่อาจใช้ยันผู้ส่งหรือผู้ตราส่งเสียแล้ว ก็ย่อมใช้ยันผู้รับตราส่งซึ่งได้รับสิทธิของผู้ส่งมาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 627 ตลอดจนผู้รับช่วงสิทธิของผู้รับตราส่งไม่ได้
บริษัท ด. และบริษัท อ. ร่วมทุนกันดำเนินธุรกิจขนส่งทางทะเล ใช้ชื่อทางการค้าว่าสายเดินเรือเมอสก์ และเรือซึ่งบรรทุกสินค้ารายนี้เป็นของสายเดินเรือเมอสก์ บริษัททั้งสองซึ่งร่วมทุนกันดังกล่าวจึงเป็นผู้รับขนสินค้ารายนี้ และถือได้ว่าจำเลยซึ่งเป็นสำนักงานสาขาของบริษัททั้งสองนั้นเป็นผู้รับขนสินค้ารายนี้ด้วย
การที่บริษัท ย. เป็นผู้สั่งสินค้าตามฟ้องเข้ามาจากประเทศสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต ต่อ อินเตอร์เนชั่นแนลแบงค์ออฟไชน่า ถือได้ว่า บริษัท ย. เป็นผู้มีส่วนได้เสียในสินค้าที่เอาประกันไว้นั้น
ข้อจำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งในใบตราส่งที่พิมพ์เพิ่มเติมขึ้นจากแบบพิมพ์เดิมโดยไม่ปรากฏการรับรู้ของผู้ส่งหรือผู้ตราส่ง จะฟังว่าผู้ส่งหรือผู้ตราส่งตกลงด้วยในข้อจำกัดความรับผิดของจำเลยซึ่งเป็นผู้ขนส่งหาได้ไม่ และเมื่อข้อจำกัดความรับผิดนั้นไม่อาจใช้ยันผู้ส่งหรือผู้ตราส่งเสียแล้ว ก็ย่อมใช้ยันผู้รับตราส่งซึ่งได้รับสิทธิของผู้ส่งมาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 627 ตลอดจนผู้รับช่วงสิทธิของผู้รับตราส่งไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2877/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สถานที่ทำสัญญาเป็นสถานที่เกิดมูลคดี แม้มีการตกลงรับเงินที่อื่น
โจทก์อ้างว่าโจทก์จำเลยได้ตกลงกันว่าหากมีข้อพิพาทเกิดขึ้นก็ให้นำคดีขึ้นสู่ศาลจังหวัดสงขลา แต่เมื่อโจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดนราธิวาส จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่กรุงเทพ ตามฟ้องโจทก์อ้างว่าจำเลยปฏิบัติผิดสัญญาซึ่งทำที่กรุงเทพฯ ดังนี้ สถานที่ที่มีมูลคดีเกิดขึ้นคือกรุงเทพฯแม้ตามสัญญาที่ทำกันไว้จำเลยจะได้รับเงินค่าจ้างจากผู้ว่าจ้างที่จังหวัดสงขลาและจะต้องแบ่งเงินให้โจทก์ที่จังหวัดนั้น ก็ถือไม่ได้ว่าสัญญาเกิดขึ้นที่จังหวัดสงขลา เพราะการตกลงให้มีการรับเงินกันที่ใดเป็นคนละเรื่องกับการเกิดของสัญญา ศาลจังหวัดสงขลาจึงไม่มีอำนาจรับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1491/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาล: คดีละเมิดอสังหาริมทรัพย์ฟ้องได้ที่ศาลทรัพย์สินตามที่ตั้ง แม้มีข้อตกลงฟ้องที่ศาลแพ่งในสัญญาเช่า
กรรมการบริษัทให้เช่าอาคารของบริษัทโดยไม่มีอำนาจ บริษัทใช้อาคารไม่ได้ บริษัทฟ้องขับไล่ผู้เช่า เป็นคดีละเมิดเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งต้องฟ้องต่อศาลในเขตที่ทรัพย์ตั้งอยู่ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1) ไม่ใช่กรณีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาเช่าซึ่งจะต้องฟ้อง ต่อศาลแพ่งตามข้อตกลงในสัญญาเช่า
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยจากอาคารของโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง เพราะศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาโจทก์ฎีกาข้อให้ย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยจากอาคารของโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง เพราะศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาโจทก์ฎีกาข้อให้ย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1491/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาล: แม้มีข้อตกลงฟ้องร้องที่ศาลแพ่ง แต่หากฟ้องละเมิดเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ศาลจังหวัดก็มีอำนาจพิจารณาได้
บริษัทโจทก์โดยคณะกรรมการขุดเดิมได้นำโรงงานและกิจการผลิตไม้อัดของโจทก์ ไปให้จำเลยเช่าดำเนินกิจการแทนโดยได้ทำสัญญาเช่าและจดทะเบียนกันมีกำหนด 15 ปี สัญญาเช่ามีข้อความข้อหนึ่งว่า "คู่สัญญาตกลงกันว่า หากมีข้อพิพาทใด ๆ เกิดขึ้นเกี่ยวกับข้อสัญญานี้แล้ว ให้คู่กรณีนำคดีฟ้องร้อง ณ ที่ศาลแพ่ง" ต่อมาบริษัทโจทก์จดทะเบียนกรรมการผู้บริหารงานใหม่ กรรมการชุดใหม่เข้าไปดำเนินกิจการไม่ได้ จึงฟ้องขับไล่จำเลยต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการซึ่งโรงงานพิพาทตั้งอยู่ในเขต อ้างว่า จำเลยเข้าไปดำเนินกิจการผลิตไม้อัดในโรงงานพิพาทปราศจากมูลเหตุที่จะอ้างได้โดยชอบด้วยกฎหมาย สัญญาเช่าที่จำเลยทำกับกรรมการบริษัทโจทก์ชุดเก่าขัดต่อวัตถุประสงค์ของโจทก์ ทั้งเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามโดยชัดแจ้งตามกฎหมาย ตกเป็นโมฆะ ดังนี้ คู่ความมิได้พิพาทกันเกี่ยวด้วยสัญญาเช่าที่ทำกันไว้ เพราะมิได้ฟ้องร้องหาว่าคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งประพฤติผิดเงื่อนไขแห่งสัญญาเช่าหรือไม่ยอมปฏิบัติตามข้อกำหนดแห่งสัญญาเช่า แต่เป็นการฟ้องร้องในมูลละเมิด โจทก์จึงหาตกอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 7(4) ที่จะต้องยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งดังที่ตกลงกันไว้ในหนังสือสัญญาเช่าไม่ คำฟ้องคดีนี้เกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการที่ทรัพย์พิพาทตั้งอยู่ในเขตศาล จึงเป็นการชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1) แล้ว
โจทก์ฎีกาขอให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ ดังนี้ เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ แต่ศาลชั้นต้นเรียกเก็บค่าธรรมเนียมชั้นฎีกาเกินมาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ศาลฎีกาจึงให้คืนค่าธรรมเนียมส่วนที่เกินแก่โจทก์
โจทก์ฎีกาขอให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ ดังนี้ เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ แต่ศาลชั้นต้นเรียกเก็บค่าธรรมเนียมชั้นฎีกาเกินมาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ศาลฎีกาจึงให้คืนค่าธรรมเนียมส่วนที่เกินแก่โจทก์