พบผลลัพธ์ทั้งหมด 86 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 527/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ ยึดรถยนต์โดยไม่ชอบ ชดใช้ค่าเสียหายขาดประโยชน์และค่าเสื่อมราคา
สินค้ารถยนต์ตามพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตท้าย พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมตาม พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ๓) พ.ศ.2534 มาตรา 3 ได้ให้คำจำกัดความไว้แล้ว การที่กรมสรรพสามิตจำเลยออกคำสั่งกรมสรรพสามิตที่ 437/2537 ให้รถยนต์ซึ่งทำจากชิ้นส่วนของรถยนต์ที่ออกแบบเพื่อใช้สำหรับนั่งเป็นปกติวิสัย แม้มีที่นั่งด้านหน้าตอนเดียวสำหรับคนขับและด้านหลังเปิดโล่งเป็นรถยนต์นั่งตามพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต ประเภทที่ 05.01 ด้วย เป็นการเปลี่ยนประเภทรถยนต์กระบะตามความหมายของรถยนต์กระบะ ให้เป็นรถยนต์นั่ง มิใช่การตีความในพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตตามมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 จึงไม่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ภายในขอบอำนาจโดยเคร่งครัด ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยยึดรถยนต์ของโจทก์ไว้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยต้องรับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่
ระหว่างที่รถยนต์คันของโจทก์ถูกจำเลยยึดไว้ ย่อมทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้ประโยชน์ และระยะเวลาที่ผ่านไปเกือบ 2 ปี ย่อมทำให้รถยนต์ที่จอดทิ้งไว้โดยไม่ได้ใช้งานเก่าลง อุปกรณ์บางอย่างหมดสภาพหรือหมดอายุการใช้งานซึ่งเป็นเหตุให้รถยนต์มีราคาลดลงจากเดิม อันเป็นความเสียหายที่เกิดจากการทำละเมิดของจำเลย จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าขาดประโยชน์จากการที่โจทก์มิได้ใช้รถยนต์ และค่าเสื่อมราคาของรถยนต์ให้แก่โจทก์ด้วย
ระหว่างที่รถยนต์คันของโจทก์ถูกจำเลยยึดไว้ ย่อมทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้ประโยชน์ และระยะเวลาที่ผ่านไปเกือบ 2 ปี ย่อมทำให้รถยนต์ที่จอดทิ้งไว้โดยไม่ได้ใช้งานเก่าลง อุปกรณ์บางอย่างหมดสภาพหรือหมดอายุการใช้งานซึ่งเป็นเหตุให้รถยนต์มีราคาลดลงจากเดิม อันเป็นความเสียหายที่เกิดจากการทำละเมิดของจำเลย จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าขาดประโยชน์จากการที่โจทก์มิได้ใช้รถยนต์ และค่าเสื่อมราคาของรถยนต์ให้แก่โจทก์ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 526/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งลงโทษทางวินัยและการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ปกครอง ต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงและกระบวนการที่ชอบด้วยกฎหมาย
คำสั่งลงโทษไล่โจทก์ออกจากราชการเป็นคำสั่งทางปกครองของฝ่ายบริหาร การที่ศาลจะเพิกถอนคำสั่งทางปกครองของฝ่ายบริหารได้นั้น ข้อสำคัญข้อหนึ่งคือ การออกคำสั่งดังกล่าวเป็นการออกโดยมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามขั้นตอนและออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
การลงโทษทางวินัยกับความรับผิดในทางอาญานั้นต้องแยกออกจากกัน การถูกลงโทษทางวินัยตามข้อกล่าวหานั้นอาจไม่เป็นความผิดทางอาญาก็ได้ ไม่จำเป็นว่าการลงโทษทางวินัยจะต้องเป็นความผิดทางอาญาเสมอไป คดีนี้ประการแรกโจทก์ไม่ได้กล่าวอ้างเลยว่ากระบวนการสอบสวนของจำเลยที่ 1 ไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร เพียงแต่โต้แย้งข้อเท็จจริงว่า โจทก์ไม่ได้กระทำความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ จำเลยที่ 1 จึงไม่มีอำนาจที่จะออกคำสั่งลงโทษไล่โจทก์ออกจากราชการ แต่โจทก์ก็ถูกฟ้องเป็นคดีต่อศาลอาญาข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แม้ศาลจะพิพากษายกฟ้องโจทก์และคดีถึงที่สุดแต่คำพิพากษาดังกล่าวก็มีข้อเท็จจริงที่พัวพันกับตัวโจทก์ ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 ใช้ดุลพินิจลงโทษโจทก์ตามพฤติการณ์ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่า การกระทำของโจทก์ตกอยู่ในกรณีมีมลทินหรือมัวหมองในกรณีที่ถูกสอบสวนโดยมิได้ลงโทษกล่าวหาว่าโจทก์ร่วมกับพวกปล้นทรัพย์แต่อย่างใด การออกคำสั่งของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการออกคำสั่งโดยใช้ดุลพินิจที่ชอบด้วยกฎหมาย
การลงโทษทางวินัยกับความรับผิดในทางอาญานั้นต้องแยกออกจากกัน การถูกลงโทษทางวินัยตามข้อกล่าวหานั้นอาจไม่เป็นความผิดทางอาญาก็ได้ ไม่จำเป็นว่าการลงโทษทางวินัยจะต้องเป็นความผิดทางอาญาเสมอไป คดีนี้ประการแรกโจทก์ไม่ได้กล่าวอ้างเลยว่ากระบวนการสอบสวนของจำเลยที่ 1 ไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร เพียงแต่โต้แย้งข้อเท็จจริงว่า โจทก์ไม่ได้กระทำความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ จำเลยที่ 1 จึงไม่มีอำนาจที่จะออกคำสั่งลงโทษไล่โจทก์ออกจากราชการ แต่โจทก์ก็ถูกฟ้องเป็นคดีต่อศาลอาญาข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แม้ศาลจะพิพากษายกฟ้องโจทก์และคดีถึงที่สุดแต่คำพิพากษาดังกล่าวก็มีข้อเท็จจริงที่พัวพันกับตัวโจทก์ ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 ใช้ดุลพินิจลงโทษโจทก์ตามพฤติการณ์ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่า การกระทำของโจทก์ตกอยู่ในกรณีมีมลทินหรือมัวหมองในกรณีที่ถูกสอบสวนโดยมิได้ลงโทษกล่าวหาว่าโจทก์ร่วมกับพวกปล้นทรัพย์แต่อย่างใด การออกคำสั่งของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการออกคำสั่งโดยใช้ดุลพินิจที่ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 524/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคำนวณค่าทดแทนการใช้ที่ดิน กรณีแนวสายไฟฟ้าสูง: ศาลฎีกาปรับอัตราค่าทดแทนตามสภาพที่ดินจริง
พ.ร.บ.การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยฯ มาตรา 30 บัญญัติไว้เพียงว่าให้จำเลยจ่ายเงินค่าทดแทนตามความเป็นธรรมแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์สิน มิได้บัญญัติรายละเอียดของหลักเกณฑ์ที่จะให้นำมาใช้คำนึงในการกำหนดและจ่ายเงินค่าทดแทนอย่างเป็นธรรมเช่นที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฯ มาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) ถึง (5) แต่เนื่องจาก พ.ร.บ. ทั้งสองนี้มีเจตนารมณ์ที่จะจ่ายเงินค่าทดแทนที่เป็นธรรมแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินและทรัพย์สินอื่น ดังนั้น การที่จะพิจารณากำหนดเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินตามความเป็นธรรมตาม พ.ร.บ.การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยฯ มาตรา 30 ก็ควรคำนึงถึงหลักเกณฑ์ทำนองเดียวกับที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฯ มาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) ถึง (5) กรณีการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์วันอันเป็นฐานที่ตั้งในการพิจารณาราคาของอสังหาริมทรัพย์และสภาพและที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฯ มาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) ถึง (4) คือ วันใช้บังคับ พ.ร.ฎ.กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน อันเป็นวันเริ่มต้นของการกำหนดแนวเขตที่ดินที่จะเวนคืนมีผลใช้บังคับ ซึ่งวันอันเป็นฐานที่ตั้งในการพิจารณาราคาของอสังหาริมทรัพย์และสภาพและที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในแนวเขตเดินสายส่งไฟฟ้าคือวันที่ประกาศกำหนดเขตสำรวจทั่วไปเพื่อเลือกแนวหรือที่ตั้งระบบไฟฟ้าในราชกิจจานุเบกษาตามมาตรา 28 (2) (ข) แห่ง พ.ร.บ.การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยฯ
เมื่อกำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินที่ใช้ปลูกบ้านซึ่งมีการถมดินไว้แล้วจึงไม่ต้องกำหนดเงินค่าถมดินอีก
การเวนคืนเพื่อใช้เดินสายส่งไฟฟ้า กรรมสิทธิ์ในที่ดินยังคงเป็นของเจ้าของที่ดิน เจ้าของที่ดินจึงมีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนในการใช้ที่ดินที่เดินสายส่งไฟฟ้าเท่านั้น ดังนั้น การกำหนดเงินค่าทดแทนในส่วนที่ใช้ตั้งเสาไฟฟ้าให้ร้อยละ 100 ที่บ้านจ่ายให้ร้อยละ 90 ที่สวนจ่ายให้ร้อยละ 70 และที่นาจ่ายให้ร้อยละ 50 จึงชอบแล้ว
เมื่อกำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินที่ใช้ปลูกบ้านซึ่งมีการถมดินไว้แล้วจึงไม่ต้องกำหนดเงินค่าถมดินอีก
การเวนคืนเพื่อใช้เดินสายส่งไฟฟ้า กรรมสิทธิ์ในที่ดินยังคงเป็นของเจ้าของที่ดิน เจ้าของที่ดินจึงมีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนในการใช้ที่ดินที่เดินสายส่งไฟฟ้าเท่านั้น ดังนั้น การกำหนดเงินค่าทดแทนในส่วนที่ใช้ตั้งเสาไฟฟ้าให้ร้อยละ 100 ที่บ้านจ่ายให้ร้อยละ 90 ที่สวนจ่ายให้ร้อยละ 70 และที่นาจ่ายให้ร้อยละ 50 จึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 512/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ การบุกรุกและทำร้ายร่างกาย ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์
ฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ที่ว่า บาดแผลที่ผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 ได้รับจากการกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กาย และจำเลยทั้งสี่ได้กระทำความผิดฐานบุกรุกเพราะประสงค์จะเจรจากับผู้เสียหายที่ 2 ที่ทำร้ายร่างกายบุตรหลานของจำเลยทั้งสี่ถือว่ามีเหตุอันควรอันเป็นการฎีกาว่าไม่ได้กระทำความผิดตามคำฟ้อง เมื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ให้การรับสารภาพแล้ว ข้อเท็จจริงจึงรับฟ้องได้ดังฟ้องโจทก์ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จะฎีกาโต้แย้งเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จึงเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นฎีกาซึ่งเป็นปัญหาที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 508/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ศาลพิจารณาโทษและแก้ไขบทลงโทษ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยและความเดือดร้อนของผู้อื่นและอ้างบทมาตรา 43 แห่ง พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ อันเป็นบทห้ามกระทำความผิดมาด้วย แม้โจทก์จะมิได้อ้างบทลงโทษตามมาตรา 160 วรรคสาม ศาลก็ลงโทษจำเลยตามบทมาตราดังกล่าวได้ ซึ่งไม่ถือว่าเป็นเรื่องโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 492/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาพักการลงโทษจำคุก โดยคำนึงถึงประวัติโทษ และการกระทำหลังเกิดเหตุ
แม้จะปรากฏตามรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยว่า เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2537 จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุด ให้ลงโทษจำคุก 6 ปีก็ตาม แต่จากการตรวจสอบของพนักงานคุมประพฤติได้รายงานให้ทราบว่าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครเคยรับตัวจำเลยไว้คุมขังในความผิดฐานปล้นทรัพย์ ซึ่งศาลอาญาพิพากษาให้ลงโทษจำคุก 6 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2534 เป็นต้นไป คดีถึงที่สุดและจำเลยได้รับการปล่อยตัวไปเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2536 เนื่องจากได้รับพระราชทานอภัยโทษตาม พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษฯ จำเลยจึงเป็นผู้กระทำความผิดก่อนวันที่ 9 มิถุนายน 2539 และได้พ้นโทษไปแล้วก่อนหรือในวันที่ พ.ร.บ.ล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาลสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลดุลยเดชทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปีฯ ใช้บังคับ จำเลยย่อมได้รับประโยชน์ตามมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ. ดังกล่าว ที่บัญญัติให้ถือว่าจำเลยมิได้เคยถูกลงโทษในกรณีความผิดที่ได้กระทำไปแล้วก่อนหรือในวันที่ พ.ร.บ.ล้างมลทินฉบับนี้ใช้บังคับ ดังนั้นต้องถือว่าจำเลยไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตาม ป.อ. มาตรา 56 ที่ศาลจะพิจารณารอการลงโทษให้แก่จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 346/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางอาญาจากอุบัติเหตุทางถนน: การประเมินความประมาทและการพิพากษาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 จอดรถรอเลี้ยวอยู่ในช่องกลับรถไม่ล้ำเข้าไปกีดขวางการจราจรในช่องเดินรถของจำเลยที่ 1 และโจทก์มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (3), 157 มาด้วย ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความยกขึ้นอ้างและความผิดฐานดังกล่าวของจำเลยที่ 2 ยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว แต่เมื่อคดีนี้ได้ขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกา ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 226/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การให้เงินเพื่อจูงใจลงคะแนนเป็นภัยต่อประชาธิปไตย ศาลยืนโทษจำคุก
การที่จำเลยให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ลงคะแนนแก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งคนหนึ่งคนใดนั้น เป็นพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อระบบการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย เป็นการแทรกแซงมติประชาชนผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียง อันเป็นเหตุให้ไม่สามารถคัดสรรบุคคลที่เหมาะสมจะเป็นตัวแทนที่แท้จริงของประชาชน ซึ่งการกระทำดังกล่าวนั้นไม่เพียงแต่จะสร้างความเสียหายแก่ชุมชนของจำเลย แต่ยังเป็นการทำลายรากฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย พฤติการณ์ของจำเลยจึงเป็นเรื่องร้ายแรง กรณีจึงยังไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8989/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปรับบทลงโทษผิดฐานจอดรถประมาท ไม่ใช่ขับรถประมาท ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขได้
คดีที่จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องและตามคำบรรยายฟ้องโจทก์เป็นเรื่องจำเลยจอดรถโดยประมาท มิใช่เป็นเรื่องที่จำเลยขับรถโดยประมาท ที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4), 157 อีกบทหนึ่งมาด้วยนั้น จึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะไม่ได้ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8404/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประมาทขับรถทำให้ผู้อื่นเสียชีวิตและบาดเจ็บ ศาลแก้ไขโทษให้ถูกต้องตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขับรถด้วยความประมาทน่าหวาดเสียว อันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น และปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ เป็นเหตุให้รถยนต์ที่จำเลยขับเฉี่ยวชนกับรถยนต์กระบะ เป็นเหตุให้ อ. ผู้ขับ และ ช. ผู้โดยสารมาในรถยนต์กระบะคันดังกล่าวถึงแก่ความตาย ส่วน ส. ผู้ที่โดยสารมาอีกคนหนึ่งได้รับอันตรายสาหัส ขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 291, 300 พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43, 157 จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามฟ้องว่าจำเลยได้กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ ส. ได้รับอันตรายสาหัส อันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 300 แต่ศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาปรับบทลงโทษจำเลยตามบทมาตราดังกล่าวมาด้วยเป็นการไม่ชอบ และศาลอุทธรณ์ภาค 4 มิได้พิพากษาแก้ไขในข้อนี้ เพียงแต่วงเล็บบทมาตราดังกล่าวไว้ในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 เมื่อกล่าวถึงคำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง จึงพิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 300 อีกบทหนึ่งอันเป็นกรรมเดียวกับความผิดตาม ป.อ. มาตรา 291 และ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4), 157 ให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 291 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด