พบผลลัพธ์ทั้งหมด 11 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5209/2566
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คถูกปฏิเสธเนื่องจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ระงับการจ่ายหลังจำเลยล้มละลาย ไม่ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.เช็ค
จำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ แต่ก่อนถึงกำหนดวันที่ลงในเช็ค จำเลยถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด จำเลยย่อมไม่มีอำนาจในการจัดการทรัพย์สินของตนเองนับแต่วันดังกล่าว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจจัดการและจำหน่ายทรัพย์สินของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 เมื่อโจทก์นำเช็คไปเรียกเก็บเงิน ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่า "มีคำสั่งให้ระงับการจ่ายโดยผู้มีอำนาจตามกฎหมาย" แสดงว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ดำเนินการตามอำนาจในการจัดการและเก็บรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยเพื่อเข้ากองทรัพย์สินและนำมาชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ ด้วยการมีคำสั่งให้ธนาคารระงับการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท การที่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินมิใช่เกิดจากการกระทำของจำเลย จำเลยไม่มีความผิดตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5208/2566
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่เกิดจากหนังสือรับสภาพหนี้ ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
เมื่อพิจารณาหนังสือรับสภาพหนี้ทั้งสามฉบับระบุรายละเอียดของเช็คพิพาทว่าจำเลยออกเพื่อชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้แต่ละฉบับ จำเลยมีเจตนาออกเช็คพิพาทแต่ละฉบับเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย จำเลยจึงกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ตาม ป.อ. มาตรา 91 รวม 3 กระทง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4187/2566
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เพิกถอนนิติกรรมโอนทรัพย์มรดก: ผู้จัดการมรดกโอนทรัพย์ให้ตนเองแล้วโอนต่อโดยไม่สุจริต ทายาทมีสิทธิเพิกถอน
จำเลยที่ 2 ทำนิติกรรมรับซื้อฝากที่ดินพิพาทจาก จ. โดยไม่สุจริต โจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมอันอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนเสียเปรียบ โจทก์ทั้งสามย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทเพื่อกลับคืนสู่กองมรดกได้ เมื่อคำฟ้องของโจทก์ทั้งสามมีคำขอให้เพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวกลับมาเป็นของ จ. ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ก. หรือ ต. เพื่อให้ที่ดินพิพาทกลับสู่กองมรดกของ ก. หรือ ต. ดังนี้ ตามคำขอดังกล่าวจึงมีความหมายรวมอยู่ในตัวว่า โจทก์ทั้งสามมีคำขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทระหว่าง จ. ในฐานะส่วนตัวกับ จ. ในฐานะผู้จัดการมรดกด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 เพียงพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนขายฝากและสัญญาขยายกำหนดเวลาไถ่จากการขายฝากที่ดินระหว่าง จ. กับจำเลยที่ 2 เท่านั้น จึงยังไม่ครบถ้วนตามคำฟ้องและคำขอของโจทก์ แต่ที่โจทก์ทั้งสามฎีกาขอให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามคำพิพากษา หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง โดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายนั้น เมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมตามคำขอท้ายดังกล่าวของโจทก์แล้ว ย่อมมีผลทำให้ที่ดินกลับสู่กองมรดกของ ก. หรือ ต. โดยผลของคำพิพากษา อีกทั้ง ตาม ป.ที่ดิน มาตรา 61 วรรคแปด บัญญัติไว้ว่า ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดให้เพิกถอนหรือแก้ไขอย่างใดแล้ว ให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นตามวิธีการที่อธิบดีกำหนด จึงไม่จำต้องบังคับให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวโดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5090/2565
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อมูลบัตรเครดิตไม่ใช่'วัตถุ'แห่งความผิดฐานลักทรัพย์ ตามนิยามบัตรอิเล็กทรอนิกส์ในประมวลกฎหมายอาญา
บัตรเครดิตที่มีการออกเอกสารหรือวัตถุอื่นใดให้ ถือเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ตามมาตรา 1 (14) (ก) ส่วนหมายเลขบนบัตรเครดิตจำนวนสิบหกหลัก วันหมดอายุ และเลขสามตัว (CVV) หลังบัตรเครดิต เป็นเพียงข้อมูลของบัตรเครดิต จึงไม่มีรูปร่างที่จะเป็นวัตถุแห่งการกระทำผิดเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริต เมื่อจำเลยนำข้อมูลหลังบัตรเครดิตไปใช้ชำระค่าซื้อสินค้าหรือบริการกับผู้ขายสินค้าหรือร้านขายสินค้าออนไลน์บนเครือข่ายระบบอินเทอร์เน็ต จึงไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3803/2565
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้ร่วมสามีภริยาตามสัญญาเช่าซื้อ: หนังสือยินยอมถือเป็นการให้สัตยาบัน
ในขณะที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์ ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 ทำหนังสือรับรู้และยินยอมให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อและหากจำเลยที่ 1 ประพฤติผิดสัญญาหรือความรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อ จำเลยที่ 2 ยินยอมร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 อย่างลูกหนี้ร่วม หนังสือดังกล่าวถือว่าเป็นการให้สัตยาบันแก่หนี้ตามสัญญาเช่าซื้อที่ภริยาก่อขึ้นและเป็นหนี้ร่วมระหว่างสามีภริยาที่จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1490 (4) กรณีหาใช่โจทก์มีเจตนาให้จำเลยที่ 2 สามีโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 ทำหนังสือยินยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 อย่างลูกหนี้ร่วมเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายที่บัญญัติให้ข้อตกลงที่ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดอย่างเดียวกับลูกหนี้ร่วมหรือในฐานะลูกหนี้ร่วมตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 686 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ใหม่) ประกอบมาตรา 150
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3026/2565
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีแชร์: รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย ผู้เสียหายรายบุคคลไม่มีอำนาจฟ้อง
การประกอบธุรกิจเป็นนายทุนวงแชร์หรือจัดให้มีการเล่นแชร์ นอกจากจะมีผลกระทบต่อการออมของประชาชนแล้วยังกระทบต่อการระดมเงินออมของสถาบันการเงินที่ทางราชการสนับสนุนและรับผิดชอบ ทำให้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของรัฐให้เสียหาย ความผิดตาม พ.ร.บ.การเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 จึงเป็นความผิดที่รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย ดังนั้น เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือพนักงานอัยการเท่านั้นที่มีสิทธิฟ้อง โจทก์เป็นราษฎรจึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2941/2565
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำผิดฐานจัดให้มีการพนันและฝ่าฝืนประกาศเกี่ยวกับโรคติดต่อ เป็นคนละกรรมกัน ศาลฎีกายกเลิกโทษจำคุก
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสิบเจ็ดนัดรวมตัวกันเพื่อเล่นการพนันชนไก่ อันเป็นการรวมตัวกันทำกิจกรรมร่วมกันและเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรค อันเป็นการฝ่าฝืนประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกระบี่ ที่ให้ปิดสถานที่ที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดที่มีคนแออัดเบียดเสียด เช่น สนามชนไก่ ฯลฯ อันเป็นอำนาจของคณะกรรมการดังกล่าวตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 มาตรา 35 (1) และโจทก์บรรยายฟ้องอีกข้อหนึ่งว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าสำนักจัดให้มีการเล่นขึ้นเพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตน แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องแยกความผิดของจำเลยที่ 1 ฐานฝ่าฝืนประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกระบี่ที่ให้ปิดสนามชนไก่กับความผิดฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันชนไก่มาคนละข้อต่างหากจากกัน แต่โจทก์ก็บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าสำนักจัดให้มีการเล่นพนันชนไก่ดังกล่าวอันหมายความว่า จำเลยที่ 1 มีหน้าที่โดยตรงที่จะต้องปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกระบี่และที่จำเลยที่ 1 ไม่ปิดสนามชนไก่ก็เพื่อจัดให้มีการเล่นการพนันในสนามชนไก่นั้น แม้ความผิดทั้งสองฐานจะเป็นความผิดต่อบทบัญญัติของกฎหมายหลายบทต่างกัน และจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพก็ตาม ก็ยังคงเป็นการกระทำความผิดโดยเกิดจากเจตนาเดียวกัน การกระทำของจำเลยที่ 1 ในส่วนนี้จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทหาใช่ความผิดหลายกรรมต่างกันไม่
ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 17 มิใช่ผู้มีอำนาจหน้าที่ในการเปิดหรือปิดสนามชนไก่ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 17 เป็นเพียงผู้เข้าร่วมเล่นการพนันชนไก่ แม้จะเป็นการชุมนุมมั่วสุมทำกิจกรรมแต่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับการฝ่าฝืนประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกระบี่ ตามที่โจทก์กล่าวอ้างมาในฟ้องและประสงค์ให้ลงโทษ จึงไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 มาตรา 35 (1), 52 แม้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 17 ให้การรับสารภาพในความผิดฐานฝ่าฝืนประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกระบี่มาด้วย ก็ไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 2 ถึงที่ 17 ในความผิดฐานดังกล่าวได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 215 และ 225
ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 17 มิใช่ผู้มีอำนาจหน้าที่ในการเปิดหรือปิดสนามชนไก่ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 17 เป็นเพียงผู้เข้าร่วมเล่นการพนันชนไก่ แม้จะเป็นการชุมนุมมั่วสุมทำกิจกรรมแต่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับการฝ่าฝืนประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกระบี่ ตามที่โจทก์กล่าวอ้างมาในฟ้องและประสงค์ให้ลงโทษ จึงไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 มาตรา 35 (1), 52 แม้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 17 ให้การรับสารภาพในความผิดฐานฝ่าฝืนประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกระบี่มาด้วย ก็ไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 2 ถึงที่ 17 ในความผิดฐานดังกล่าวได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 215 และ 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2470-2471/2565
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฉ้อโกงกรรมเดียวต่อเนื่อง การรับผิดคืนเงินเฉพาะส่วนที่กระทำ
ผู้เสียหายถูกคนร้ายหลอกลวงฉ้อโกงให้โอนเงินเข้าบัญชีของจําเลยที่ 1 จำนวน 3 ครั้ง เป็นเงิน 937,500 บาท เข้าบัญชีของจําเลยที่ 2 จำนวน 2 ครั้ง เป็นเงิน 612,500 บาท และเข้าบัญชีของจําเลยที่ 4 จำนวน 5 ครั้ง เป็นเงิน 1,370,000 บาท โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า จําเลยแต่ละคนร่วมรู้เห็นหรือได้รับผลประโยชน์ใด ๆ จากการเปิดบัญชีเงินฝากร่วมกัน กรณีเป็นเรื่องต่างคนต่างทำ จําเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 จึงไม่ต้องร่วมกันคืนหรือใช้เงินที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย แต่คงต้องรับผิดคืนหรือใช้เงินให้แก่ผู้เสียหายจากผลเฉพาะที่ตนกระทำ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2112/2565
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาหลอกลวงไม่ใช่การเล่นแชร์ แม้มีการอ้างอิงรูปแบบการเล่นแชร์เพื่อหลอกลวง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดข้อหาเป็นนายวงแชร์จัดให้มีการเล่นแชร์มีจำนวนวงแชร์รวมกันมากกว่าสามวงและมีจำนวนสมาชิกวงแชร์รวมกันทุกวงมากกว่าสามสิบคน โดยเป็นนายวงแชร์และจัดให้มีการเล่นแชร์พร้อมกับวงแชร์อื่นหลายวงมากกว่าสามวง และมีสมาชิกวงแชร์รวมกันทุกวงมากกว่าสามสิบคน แต่ในคำฟ้องโจทก์ที่บรรยายพฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลยให้เห็นว่า จำเลยเพียงแต่อ้างการจัดให้มีการเล่นแชร์มาเป็นข้อหลอกลวงเพื่อให้ได้เงินค่างวดแชร์จากผู้เสียหายหรือผู้อื่น จำเลยมิได้มีเจตนาจัดให้มีการเล่นแชร์ตามข้อกล่าวอ้างอันเป็นองค์ประกอบความผิดต่อ พ.ร.บ.การเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 6 (1) (2) จึงฟังไม่ได้ว่าเป็นการเล่นแชร์ตาม พ.ร.บ.การเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 4 แม้จำเลยให้การรับสารภาพ แต่เมื่อพฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลยตามฟ้องมีเจตนาแท้จริงคือหลอกลวงฉ้อโกงประชาชนด้วยแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่าเป็นวงแชร์ที่ให้ผลตอบแทนโดยไม่มีเจตนาจ่ายผลตอบแทนจริงและไม่มีการเปียหรือประมูลแชร์แต่อย่างใด ที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องไม่อาจถือเป็นความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าวได้ ย่อมไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดข้อหาดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1542/2565
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ปืนอัดลมไม่ใช่ 'อาวุธปืน' ตามกฎหมาย ศาลยกฟ้องความผิดมีอาวุธปืน และพิพากษาให้นับโทษคดีอื่น
แม้ความผิดข้อหามีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลสามารถพิพากษาลงโทษจำเลยได้โดยไม่ต้องสืบพยานหลักฐานต่อไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง ก็ตาม แต่เมื่อมีการสืบพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพของจำเลยในข้อหาชิงทรัพย์ในเคหสถานโดยมีและใช้อาวุธปืนและโดยใช้ยานพาหนะแล้ว พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบได้ความเพียงว่าจำเลยใช้ปืนอัดลมขู่ผู้เสียหายไม่ให้ขัดขืนจนผู้เสียหายเกิดความกลัว แต่โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าปืนอัดลมดังกล่าวมีคุณสมบัติและระบบการทำงานซึ่งใช้ส่งเครื่องกระสุนปืนได้ อันจะเป็นอาวุธปืนตามบทนิยามคำว่า "อาวุธปืน" แห่ง พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 กรณีจึงไม่อาจสันนิษฐานให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยได้ และคดีต้องฟังข้อเท็จจริงว่าปืนอัดลมดังกล่าวมิใช่อาวุธปืนตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ แต่เป็นเพียงสิ่งเทียมอาวุธปืน อันถือไม่ได้ว่าเป็นอาวุธโดยสภาพตามความหมายของบทนิยามในมาตรา 1 (5) แห่ง ป.อ. การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดข้อหามีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต พาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร และชิงทรัพย์โดยมีและใช้อาวุธปืน