พบผลลัพธ์ทั้งหมด 23 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1687/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินวัดและสำนักงานทรัพย์สินฯ: ครอบครองปรปักษ์ไม่ได้
ที่วัดที่ธรณีสงฆ์และที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ผู้ใดจะครอบครองปรปักษ์มิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1489/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจแต่งตั้งเจ้าอาวาส: เจ้าคณะจังหวัดมีอำนาจพิจารณาแต่งตั้งตามความเหมาะสม ไม่จำกัดเฉพาะผู้ถูกคัดเลือก
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยจากวัด ศาลชั้นต้นกะประเด็นว่าโจทก์ร่วมเป็นเจ้าอาวาสโดยชอบหรือไม่ คดีจึงมีประเด็นเดียว เมื่อโจทก์ร่วมเป็นเจ้าอาวาสโดยชอบ ศาลพิพากษาขับไล่จำเลย
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ 2505 มาตรา 23 กับกฎมหาเถรสมาคมให้เจ้าคณะปฤกษาสงฆ์และทายกทายิกาคัดเลือกแล้วรายงานเจ้าคณะจังหวัดแต่งตั้งเจ้าอาวาสตามที่เห็นสมควร ไม่จำต้องตั้งตามที่ได้รับการคัดเลือกมา
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ 2505 มาตรา 23 กับกฎมหาเถรสมาคมให้เจ้าคณะปฤกษาสงฆ์และทายกทายิกาคัดเลือกแล้วรายงานเจ้าคณะจังหวัดแต่งตั้งเจ้าอาวาสตามที่เห็นสมควร ไม่จำต้องตั้งตามที่ได้รับการคัดเลือกมา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1984/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจปกครองวัดพม่าในไทย: คณะสงฆ์ไทยไม่มีอำนาจก้าวก่ายการปกครองวัดของต่างชาติ
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์เป็นบทบัญญัติมุ่งใช้เฉพาะสงฆ์ไทยเท่านั้นมิได้บังคับใช้แก่คณะสงฆ์อื่นและไม่ประสงค์จะให้คณะสงฆ์ไทยไปก้าวก่ายในการปกครองคณะสงฆ์อื่นด้วย การปกครองคณะสงฆ์อื่นในประเทศไทยจะดำเนินการอย่างไรต้องออกเป็นกฎกระทรวงต่อไปตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติ
เมื่อยังไม่มีกฎกระทรวงออกมาสำหรับใช้แก่การปกครองคณะสงฆ์อื่นในประเทศไทย การปกครองวัดปรกพม่าซึ่งสร้างขึ้นโดยชาวพม่าและทางราชการมอบให้อยู่ภายใต้การปกครองของสถานทูตพม่าประจำประเทศไทยจึงเป็นไปตามพิธีการของคณะสงฆ์พม่าเอง ซึ่งอยู่ในความควบคุมของสถานทูตพม่าประจำประเทศไทย ผู้ได้รับการแต่งตั้งโดยคณะสงฆ์ไทยให้เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดปรกพม่าโดยสถานทูตพม่าประจำประเทศไทยและอธิบดีสงฆ์พม่าประจำประเทศไทยไม่ยอมรับ หามีอำนาจฟ้องคดีแทนวัดปรกพม่าไม่
เมื่อยังไม่มีกฎกระทรวงออกมาสำหรับใช้แก่การปกครองคณะสงฆ์อื่นในประเทศไทย การปกครองวัดปรกพม่าซึ่งสร้างขึ้นโดยชาวพม่าและทางราชการมอบให้อยู่ภายใต้การปกครองของสถานทูตพม่าประจำประเทศไทยจึงเป็นไปตามพิธีการของคณะสงฆ์พม่าเอง ซึ่งอยู่ในความควบคุมของสถานทูตพม่าประจำประเทศไทย ผู้ได้รับการแต่งตั้งโดยคณะสงฆ์ไทยให้เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดปรกพม่าโดยสถานทูตพม่าประจำประเทศไทยและอธิบดีสงฆ์พม่าประจำประเทศไทยไม่ยอมรับ หามีอำนาจฟ้องคดีแทนวัดปรกพม่าไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1973/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีแทนวัด: ไวยาวัจกรต้องได้รับมอบอำนาจจากเจ้าอาวาสหรือผู้รักษาการแทนเท่านั้น
ไวยาวัจกรให้กู้เงินของวัดและทำสัญญาในฐานะไวยาวัจกรของวัด ซึ่งเท่ากับทำสัญญาในฐานะตัวแทนของวัด เมื่อจะฟ้องผู้กู้ให้ชำระหนี้ เจ้าอาวาสหรือผู้รักษาการแทนเท่านั้นที่มีอำนาจฟ้องคดีแทนวัด ไวยาวัจกรซึ่งไม่ได้รับมอบอำนาจจากเจ้าอาวาสหรือผู้รักษาการแทนให้ดำเนินคดี หามีอำนาจฟ้องแทนวัดได้ไม่
เมื่อจำเลยต่อสู้ไว้ในคำให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลอุทธรณ์ย่อมยกประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้บางส่วน จำเลยไม่อุทธรณ์ โจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ขอให้จำเลยชำระหนี้เต็มจำนวน เมื่อปรากฏว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียทั้งหมด (ข้อกฎหมายวรรคท้ายสรุปจากผลแห่งคำพิพากษา และโปรดสังเกตคำพิพากษาฎีกาที่ 678/2490 เทียบเคียง)
เมื่อจำเลยต่อสู้ไว้ในคำให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลอุทธรณ์ย่อมยกประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้บางส่วน จำเลยไม่อุทธรณ์ โจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ขอให้จำเลยชำระหนี้เต็มจำนวน เมื่อปรากฏว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียทั้งหมด (ข้อกฎหมายวรรคท้ายสรุปจากผลแห่งคำพิพากษา และโปรดสังเกตคำพิพากษาฎีกาที่ 678/2490 เทียบเคียง)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1992/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีบุกรุกที่ดิน: โจทก์ต้องพิสูจน์ก่อนว่าที่ดินอยู่ในเขตโฉนดของตน
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกที่พิพาทซึ่งอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์. จำเลยให้การว่าที่ดินตามโฉนดของโจทก์มีอาณาเขตติดกับที่ดินตามโฉนดของจำเลยจริง. จำเลยไม่ได้บุกรุกที่ดินของโจทก์ และว่าที่พิพาทเป็นที่ดินอยู่ในเขตโฉนดซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแล้ว. ประเด็นจึงมีว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์หรือจำเลยเท่านั้น.โจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อน. จำเลยมิได้ยอมรับว่าที่พิพาทเป็นที่ธรณีสงฆ์ซึ่งมีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของในโฉนด หรือต่อสู้ว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ต่อโจทก์. โจทก์จะยกเอาข้อสันนิษฐานของกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 มาเป็นประโยชน์ในคดีนี้ว่าจำเลยมีหน้าที่นำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายข้อนี้ จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อน ดังนี้ ย่อมไม่ได้.
เมื่อศาลฟังว่า ที่พิพาทอยู่ในโฉนดของจำเลยทั้งสอง. มิได้ฟังว่าเป็นที่ธรณีสงฆ์ซึ่งอยู่ในโฉนดของโจทก์ซึ่งเป็นวัด. ไม่จำต้องหยิบยกเอาพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ใช้บังคับ.
จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนด. ไม่ใช่ที่ดินในโฉนดของโจทก์ แม้จำเลยจะไม่ฟ้องแย้งด้วย ก็มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยอยู่แล้วว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินในเขตโฉนดของโจทก์หรือของจำเลย. ศาลย่อมวินิจฉัยไปตามประเด็นนั้นได้โดยไม่ต้องให้จำเลยฟ้องแย้ง. คำวินิจฉัยของศาลที่เชื่อว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของจำเลยพิพากษายกฟ้อง. จึงเป็นคำวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็น ไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142.
เมื่อศาลฟังว่า ที่พิพาทอยู่ในโฉนดของจำเลยทั้งสอง. มิได้ฟังว่าเป็นที่ธรณีสงฆ์ซึ่งอยู่ในโฉนดของโจทก์ซึ่งเป็นวัด. ไม่จำต้องหยิบยกเอาพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ใช้บังคับ.
จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนด. ไม่ใช่ที่ดินในโฉนดของโจทก์ แม้จำเลยจะไม่ฟ้องแย้งด้วย ก็มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยอยู่แล้วว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินในเขตโฉนดของโจทก์หรือของจำเลย. ศาลย่อมวินิจฉัยไปตามประเด็นนั้นได้โดยไม่ต้องให้จำเลยฟ้องแย้ง. คำวินิจฉัยของศาลที่เชื่อว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของจำเลยพิพากษายกฟ้อง. จึงเป็นคำวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็น ไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1992/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดเขตที่ดินพิพาท: โจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อนหากอ้างว่าที่ดินอยู่ในโฉนดของตน
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกที่พิพาทซึ่งอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์ จำเลยให้การว่าที่ดินตามโฉนดของโจทก์มีอาณาเขตติดกับที่ดินตามโฉนดของจำเลยจริง จำเลยไม่ได้บุกรุกที่ดินของโจทก์ และว่าที่พิพาทเป็นที่ดินอยู่ในเขตโฉนดซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแล้ว ประเด็นจึงมีว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์หรือจำเลยเท่านั้น โจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อน จำเลยมิได้ยอมรับว่าที่พิพาทเป็นที่ธรณีสงฆ์ซึ่งมีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของในโฉนด หรือต่อสู้ว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ต่อโจทก์ โจทก์จะยกเอาข้อสันนิษฐานของกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 มาเป็นประโยชน์ในคดีนี้ว่าจำเลยมีหน้าที่นำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายข้อนี้ จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อน ดังนี้ ย่อมไม่ได้
เมื่อศาลฟังว่า ที่พิพาทอยู่ในโฉนดของจำเลยทั้งสองมิได้ฟังว่าเป็นที่ธรณีสงฆ์ซึ่งอยู่ในโฉนดของโจทก์ซึ่งเป็นวัด ไม่จำต้องหยิบยกเอาพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ใช้บังคับ
จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนด ไม่ใช่ที่ดินในโฉนดของโจทก์ แม้จำเลยจะไม่ฟ้องแย้งด้วย ก็มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยอยู่แล้วว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินในเขตโฉนดของโจทก์หรือของจำเลย ศาลย่อมวินิจฉัยไปตามประเด็นนั้นได้โดยไม่ต้องให้จำเลยฟ้องแย้ง คำวินิจฉัยของศาลที่เชื่อว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของจำเลยพิพากษายกฟ้อง จึงเป็นคำวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็น ไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142
เมื่อศาลฟังว่า ที่พิพาทอยู่ในโฉนดของจำเลยทั้งสองมิได้ฟังว่าเป็นที่ธรณีสงฆ์ซึ่งอยู่ในโฉนดของโจทก์ซึ่งเป็นวัด ไม่จำต้องหยิบยกเอาพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ใช้บังคับ
จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนด ไม่ใช่ที่ดินในโฉนดของโจทก์ แม้จำเลยจะไม่ฟ้องแย้งด้วย ก็มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยอยู่แล้วว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินในเขตโฉนดของโจทก์หรือของจำเลย ศาลย่อมวินิจฉัยไปตามประเด็นนั้นได้โดยไม่ต้องให้จำเลยฟ้องแย้ง คำวินิจฉัยของศาลที่เชื่อว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของจำเลยพิพากษายกฟ้อง จึงเป็นคำวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็น ไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1992/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระการพิสูจน์ในคดีบุกรุกที่ดิน: โจทก์ต้องนำสืบก่อนหากอ้างว่าที่ดินอยู่ในเขตโฉนดของตน
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกที่พิพาทซึ่งอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์ จำเลยให้การว่าที่ดินตามโฉนดของโจทก์มีอาณาเขตติดกับที่ดินตามโฉนดของจำเลยจริง จำเลยไม่ได้บุกรุกที่ดินของโจทก์ และว่าที่พิพาทเป็นที่ดินอยู่ในเขตโฉนดซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแล้ว ประเด็นจึงมีว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์หรือจำเลยเท่านั้นโจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อน จำเลยมิได้ยอมรับว่าที่พิพาทเป็นที่ธรณีสงฆ์ซึ่งมีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของในโฉนด หรือต่อสู้ว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ต่อโจทก์ โจทก์จะยกเอาข้อสันนิษฐานของกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 มาเป็นประโยชน์ในคดีนี้ว่าจำเลยมีหน้าที่นำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายข้อนี้ จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อน ดังนี้ ย่อมไม่ได้
เมื่อศาลฟังว่า ที่พิพาทอยู่ในโฉนดของจำเลยทั้งสอง มิได้ฟังว่าเป็นที่ธรณีสงฆ์ซึ่งอยู่ในโฉนดของโจทก์ซึ่งเป็นวัด ไม่จำต้องหยิบยกเอาพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ใช้บังคับ
จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนด ไม่ใช่ที่ดินในโฉนดของโจทก์ แม้จำเลยจะไม่ฟ้องแย้งด้วย ก็มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยอยู่แล้วว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินในเขตโฉนดของโจทก์หรือของจำเลย ศาลย่อมวินิจฉัยไปตามประเด็นนั้นได้โดยไม่ต้องให้จำเลยฟ้องแย้ง คำวินิจฉัยของศาลที่เชื่อว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของจำเลยพิพากษายกฟ้อง จึงเป็นคำวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็น ไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142
เมื่อศาลฟังว่า ที่พิพาทอยู่ในโฉนดของจำเลยทั้งสอง มิได้ฟังว่าเป็นที่ธรณีสงฆ์ซึ่งอยู่ในโฉนดของโจทก์ซึ่งเป็นวัด ไม่จำต้องหยิบยกเอาพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ใช้บังคับ
จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนด ไม่ใช่ที่ดินในโฉนดของโจทก์ แม้จำเลยจะไม่ฟ้องแย้งด้วย ก็มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยอยู่แล้วว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินในเขตโฉนดของโจทก์หรือของจำเลย ศาลย่อมวินิจฉัยไปตามประเด็นนั้นได้โดยไม่ต้องให้จำเลยฟ้องแย้ง คำวินิจฉัยของศาลที่เชื่อว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของจำเลยพิพากษายกฟ้อง จึงเป็นคำวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็น ไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1488/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนอำนาจตัวแทนจัดการศาสนสมบัติของวัด และขอบเขตการตีความคำว่า 'พระภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง'
คำว่า "พระภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง" ในมาตรา 26 แห่งสังฆาณัติระเบียบพระคณาธิการ พ.ศ.2486 ย่อมหมายความรวมถึงพระภิกษุในวัดอื่นด้วย
ระเบียบว่าด้วยการจัดการศาสนสมบัติของวัดตามมาตรา 43 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2484 จะต้องเป็นระเบียบตามมาตรา 49 ระเบียบเกี่ยวกับการที่วัดต่างๆ จะถอนการจัดการดังกล่าว นอกจากไม่ใช่ระเบียบซึ่งมีมาแต่เดิม และยังไม่ใช่ระเบียบที่ได้ตราขึ้นตามมาตรา 49 ดังนี้ การที่วัดโจทก์ถอนกรมการศาสนาจากการเป็นตัวแทนโดยไม่ขออนุมัติคณะสงฆมนตรี ก็เป็นการเพิกถอนที่ใช้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 827
ระเบียบว่าด้วยการจัดการศาสนสมบัติของวัดตามมาตรา 43 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2484 จะต้องเป็นระเบียบตามมาตรา 49 ระเบียบเกี่ยวกับการที่วัดต่างๆ จะถอนการจัดการดังกล่าว นอกจากไม่ใช่ระเบียบซึ่งมีมาแต่เดิม และยังไม่ใช่ระเบียบที่ได้ตราขึ้นตามมาตรา 49 ดังนี้ การที่วัดโจทก์ถอนกรมการศาสนาจากการเป็นตัวแทนโดยไม่ขออนุมัติคณะสงฆมนตรี ก็เป็นการเพิกถอนที่ใช้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 827
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 587/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
วัดได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยครอบครองปรปักษ์ แม้เจ้าของเดิมยกให้แล้ว
วัดครอบครองปรปักษ์ในที่ดินมีโฉนดซึ่งเจ้าของยกให้ได้แม้ต่อมาผู้ให้ตาย วัดยังคงครอบครองต่อมาอีกจนครบกำหนด 10 ปีแล้ว วัดย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนั้น พฤติการณ์ดังกล่าว ไม่ขัดต่อวัตถุประสงค์ของวัดและหลักทางพระพุทธศาสนา
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงกรรมสิทธิ์ของโจทก์ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิครอบครอง ไม่ได้ฟ้องเรียกมรดก จำเลยไม่อาจยกอายุความมรดกขึ้นมาอ้างได้
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงกรรมสิทธิ์ของโจทก์ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิครอบครอง ไม่ได้ฟ้องเรียกมรดก จำเลยไม่อาจยกอายุความมรดกขึ้นมาอ้างได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 157/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมอบหมายชี้เขตที่ดินของเจ้าหน้าที่ศึกษาธิการจังหวัด ไม่ถือเป็นการเป็นตัวแทนของวัด
ศึกษาธิการจังหวัดมอบหมายให้เจ้าหน้าที่แผนกศึกษาธิการ ไปชี้เขตวัดเพื่อให้เจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดออกโฉนดให้แก่วัดดังนี้ ถือไม่ได้ว่า เจ้าหน้าที่ผู้นั้นเป็นตัวแทนของวัด เพราะวัดไม่ได้แต่งตั้งแต่อย่างใด และศึกษาธิการจังหวัด ก็จะตั้งตัวแทนให้วัดไม่ได้