พบผลลัพธ์ทั้งหมด 19 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 560/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์: การครอบครองที่ดินโดยเจตนาเป็นเจ้าของ แม้ไม่มีสิทธิแต่ครอบครองนานกว่า 30 ปี ทำให้ได้กรรมสิทธิ์
บิดาโจทก์ตาย บิดาจำเลยมิใช่บุตรบิดาโจทก์และไม่มีสิทธิรับมรดกบิดาโจทก์ แต่ได้ไปไถ่นาพิพาท(มีโฉนดซึ่งบิดาโจทก์จำนองไว้) เอามาเป็นของตนและได้ไปแจ้งความเท็จว่า เป็นบุตรบิดาโจทก์ มีสิทธิรับมรดก เจ้าพนักงานหลงเชื่อโอนใส่ชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนด และบิดาจำเลยได้ครอบครองอย่างถือตนเป็นเจ้าของโดยฝ่ายโจทก์รู้เห็นและมิได้โต้แย้งหรือขัดขวางตลอดมาเป็นเวลากว่า 30 ปี ดังนี้ ถือได้ว่าบิดาจำเลยครอบครองนาพิพาทโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 และได้กรรมสิทธิ์ตามมาตรา 1382
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 3/2508)
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 3/2508)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 466/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความคดีละเมิดและเรียกคืนทรัพย์สิน ยักยอกเงินไม่ใช่การปลอมเอกสาร
กรมป่าไม้ฟ้องจำเลย 2 คนว่า เป็นเจ้าพนักงานป่าไม้ร่วมกันทุจริตต่อหน้าที่ยักยอมเอาเงินไป ครั้นเมื่อศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่ 1 กระทำไปตามลำพังแล้ว ในชั้นอุทธรณ์ฎีกาโจทก์กลับอ้างอีกว่า จำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อ ปล่อยให้จำเลยที่ 2 ยักยอกเงินไป จะให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดด้วย ข้ออ้างดังนี้ ย่อมเป็นการนอกประเด็น
กรมป่าไม้เป็นโจทก์ฟ้องคดีแพ่งว่า จำเลย 2 คนเป็นเจ้าพนักงานป่าไม้ ร่วมกันทุจริตต่อหน้าที่ ปลอมแปลงเอกสารราชการแล้วยักยอกเงิน ขอให้บังคับให้จำเลยร่วมกันคืนหรือใช้เงินจำนวนที่ยักยอกไป ปรากฏว่าเรื่องนี้อัยการได้ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีอาญาแล้ว คดียังไม่ถึงที่สุด ต่อมาคดีอาญานั้นถึงที่สุดแล้วโดยศาลพิพากาายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 เพราะฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นผู้ยักยอกเงิน ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น ปลอมแลปงเอกสารและยักยอกเงินตามลำพัง แต่จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานและจะลงโทษฐานก็ไม่ได้ เพราะไม่มีการร้องทุกข์ จึงมีความผิดฐานปลอมแลงเอกสารราชการเท่านั้น ดังนี้ ต้องถือว่าความเสียหายของโจทก์ที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยใช้เงินในคดีแพ่งนี้เป็นผลจากการที่จำเลยทำละเมิดโดยักยอกเงิน จะเอาเหตุที่ศาลลงโทษจำเลยฐานปลอมเอกสารว่าเป็นมูลแห่งสิทธิเรียกร้องเพื่อมิให้ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหาได้ไม่
บทบัญญัติเรื่องอายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 51 วรรค 2 บัญญัติเพื่อให้มีผลบังคับสำหรับกรณีที่จะมีการฟ้องคดีแพ่งตามมาภายหลังที่ได้พิจารณาพิพากษาคดีอาญาเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว ดังที่บัญญัติไว้ในวรรค 3 และ 4 รวมทั้งกรณีที่มีการฟ้องคดีแพ่งเข้ามาในระหว่างพิจารณาคดีอาญาด้วย คดีนี้อัยการฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาหาว่ายักยอกเงินและศาลพิพาษกยกฟ้องจนคดีเสร็จเด็ดขาดไป แล้วกรณีจึงต้องตามบทบัญญัติวรรค 4
อายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 นั้นใช้บังคับเฉพาะในกรณีผู้เสียหายฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิด แต่คดีนี้เป็นเรื่องเจ้าของทรัพย์สินฟ้องเรียกเอาทรัพย์ที่ผู้ทำละเมิดยึดถือครอบครองของเขาไว้ในฐานะละเมิด ซึ่งโจทก์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 จึงต้องใช้อายุความตามมาตรา 1382 และ 1383
กรมป่าไม้เป็นโจทก์ฟ้องคดีแพ่งว่า จำเลย 2 คนเป็นเจ้าพนักงานป่าไม้ ร่วมกันทุจริตต่อหน้าที่ ปลอมแปลงเอกสารราชการแล้วยักยอกเงิน ขอให้บังคับให้จำเลยร่วมกันคืนหรือใช้เงินจำนวนที่ยักยอกไป ปรากฏว่าเรื่องนี้อัยการได้ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีอาญาแล้ว คดียังไม่ถึงที่สุด ต่อมาคดีอาญานั้นถึงที่สุดแล้วโดยศาลพิพากาายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 เพราะฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นผู้ยักยอกเงิน ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น ปลอมแลปงเอกสารและยักยอกเงินตามลำพัง แต่จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานและจะลงโทษฐานก็ไม่ได้ เพราะไม่มีการร้องทุกข์ จึงมีความผิดฐานปลอมแลงเอกสารราชการเท่านั้น ดังนี้ ต้องถือว่าความเสียหายของโจทก์ที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยใช้เงินในคดีแพ่งนี้เป็นผลจากการที่จำเลยทำละเมิดโดยักยอกเงิน จะเอาเหตุที่ศาลลงโทษจำเลยฐานปลอมเอกสารว่าเป็นมูลแห่งสิทธิเรียกร้องเพื่อมิให้ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหาได้ไม่
บทบัญญัติเรื่องอายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 51 วรรค 2 บัญญัติเพื่อให้มีผลบังคับสำหรับกรณีที่จะมีการฟ้องคดีแพ่งตามมาภายหลังที่ได้พิจารณาพิพากษาคดีอาญาเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว ดังที่บัญญัติไว้ในวรรค 3 และ 4 รวมทั้งกรณีที่มีการฟ้องคดีแพ่งเข้ามาในระหว่างพิจารณาคดีอาญาด้วย คดีนี้อัยการฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาหาว่ายักยอกเงินและศาลพิพาษกยกฟ้องจนคดีเสร็จเด็ดขาดไป แล้วกรณีจึงต้องตามบทบัญญัติวรรค 4
อายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 นั้นใช้บังคับเฉพาะในกรณีผู้เสียหายฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิด แต่คดีนี้เป็นเรื่องเจ้าของทรัพย์สินฟ้องเรียกเอาทรัพย์ที่ผู้ทำละเมิดยึดถือครอบครองของเขาไว้ในฐานะละเมิด ซึ่งโจทก์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 จึงต้องใช้อายุความตามมาตรา 1382 และ 1383
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 466/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความคดีแพ่งจากการยักยอกทรัพย์: การสะดุดหยุด และข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
กรมป่าไม้ฟ้องจำเลย 2 คนว่า เป็นเจ้าพนักงานป่าไม้ร่วมกันทุจริตต่อหน้าที่ยักยอกเอาเงินไป ครั้นเมื่อศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่ 2 กระทำไปตามลำพังแล้ว ในชั้นอุทธรณ์ฎีกาโจทก์กลับอ้างอีกว่า จำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อ ปล่อยให้จำเลยที่ 2 ยักยอกเงินไปจะให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดด้วย ข้ออ้างดังนี้ย่อมเป็นการนอกประเด็น
กรมป่าไม้เป็นโจทก์ฟ้องคดีแพ่งว่า จำเลย 2 คนเป็นเจ้าพนักงานป่าไม้ร่วมกันทุจริตต่อหน้าที่ปลอมแปลงเอกสารราชการแล้วยักยอกเงินขอให้บังคับให้จำเลยร่วมกันคืนหรือใช้เงินจำนวนที่ยักยอกไปปรากฏว่าเรื่องนี้อัยการได้ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีอาญาแล้วคดียังไม่ถึงที่สุดต่อมาคดีอาญานั้นถึงที่สุดแล้วโดยศาลพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 เพราะฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นผู้ยักยอกเงิน ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น ปลอมแปลงเอกสารและยักยอกเงินตามลำพัง แต่จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานและจะลงโทษฐานยักยอกก็ไม่ได้ เพราะไม่มีการร้องทุกข์จึงมีความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารราชการเท่านั้นดังนี้ ต้องถือว่าความเสียหายของโจทก์ ที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยใช้เงินในคดีแพ่งนี้เป็นผลจากการที่จำเลยทำละเมิดโดยยักยอกเงินจะเอาเหตุที่ศาลลงโทษจำเลยฐานปลอมเอกสารว่าเป็นมูลแห่งสิทธิเรียกร้องเพื่อมิให้ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหาได้ไม่
บทบัญญัติเรื่องอายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคสองบัญญัติเพื่อให้มีผลบังคับสำหรับกรณีที่จะมีการฟ้องคดีแพ่งตามมาภายหลังที่ได้พิจารณาพิพากษาคดีอาญาเสร็จเด็ดขาดไปแล้วดังที่บัญญัติไว้ในวรรค 3 และ 4 รวมทั้งกรณีที่มีการฟ้องคดีแพ่งเข้ามาในระหว่างพิจารณาคดีอาญาด้วยคดีนี้อัยการฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาหาว่ายักยอกเงินและศาลพิพากษายกฟ้องจนคดีเสร็จเด็ดขาดไปแล้วกรณีจึงต้องตามบทบัญญัติวรรคสี่
อายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 นั้นใช้บังคับเฉพาะในกรณีผู้เสียหายฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิด แต่คดีนี้เป็นเรื่องเจ้าของทรัพย์สินฟ้องเรียกเอาทรัพย์ที่ผู้ทำละเมิดยึดถือครอบครองของเขาไว้ในฐานละเมิดซึ่งโจทก์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 จึงต้องใช้อายุความตามมาตรา 1382 และ 1383
กรมป่าไม้เป็นโจทก์ฟ้องคดีแพ่งว่า จำเลย 2 คนเป็นเจ้าพนักงานป่าไม้ร่วมกันทุจริตต่อหน้าที่ปลอมแปลงเอกสารราชการแล้วยักยอกเงินขอให้บังคับให้จำเลยร่วมกันคืนหรือใช้เงินจำนวนที่ยักยอกไปปรากฏว่าเรื่องนี้อัยการได้ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีอาญาแล้วคดียังไม่ถึงที่สุดต่อมาคดีอาญานั้นถึงที่สุดแล้วโดยศาลพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 เพราะฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นผู้ยักยอกเงิน ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น ปลอมแปลงเอกสารและยักยอกเงินตามลำพัง แต่จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานและจะลงโทษฐานยักยอกก็ไม่ได้ เพราะไม่มีการร้องทุกข์จึงมีความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารราชการเท่านั้นดังนี้ ต้องถือว่าความเสียหายของโจทก์ ที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยใช้เงินในคดีแพ่งนี้เป็นผลจากการที่จำเลยทำละเมิดโดยยักยอกเงินจะเอาเหตุที่ศาลลงโทษจำเลยฐานปลอมเอกสารว่าเป็นมูลแห่งสิทธิเรียกร้องเพื่อมิให้ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหาได้ไม่
บทบัญญัติเรื่องอายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคสองบัญญัติเพื่อให้มีผลบังคับสำหรับกรณีที่จะมีการฟ้องคดีแพ่งตามมาภายหลังที่ได้พิจารณาพิพากษาคดีอาญาเสร็จเด็ดขาดไปแล้วดังที่บัญญัติไว้ในวรรค 3 และ 4 รวมทั้งกรณีที่มีการฟ้องคดีแพ่งเข้ามาในระหว่างพิจารณาคดีอาญาด้วยคดีนี้อัยการฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาหาว่ายักยอกเงินและศาลพิพากษายกฟ้องจนคดีเสร็จเด็ดขาดไปแล้วกรณีจึงต้องตามบทบัญญัติวรรคสี่
อายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 นั้นใช้บังคับเฉพาะในกรณีผู้เสียหายฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิด แต่คดีนี้เป็นเรื่องเจ้าของทรัพย์สินฟ้องเรียกเอาทรัพย์ที่ผู้ทำละเมิดยึดถือครอบครองของเขาไว้ในฐานละเมิดซึ่งโจทก์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 จึงต้องใช้อายุความตามมาตรา 1382 และ 1383
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1277/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยครอบครองปรปักษ์และการซื้อขายโดยไม่สุจริต
ในโฉนดมีชื่อของนางหอมพี่น้องของจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิแต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าที่พิพาทบางส่วนในโฉนดนี้จำเลยครอบครองมากว่า 10 ปีแล้ว เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานว่าจำเลยครอบครองมาโดยอาศัยสิทธิของนางหอมอย่างใด ก็ต้องฟังว่าจำเลยครองมาโดยเจตนาเป็นเจ้าของ โดยถือว่าบิดามารดายกให้ตามข้อต่อสู้ของจำเลยๆ จึงได้กรรมสิทธิ
คดีนี้แม้โจทก์จะได้ซื้อกรรมสิทธิที่ดินมาจากนางหอม ได้จดทะเบียนสิทธิและเสียค่าตอบแทน แต่เมื่อได้ความตามคำของโจทก์เองว่าโจทก์ได้เห็นจำเลยทำนาพิพาทตั้งแต่ก่อนโจทก์ซื้อ ประกอบกับพฤติการณ์ที่โจทก์ขอซื้อที่พิพาทจากจำเลย ดังได้กล่าวมาดังนี้แล้ว ต้องฟังว่าโจทก์ทราบอยู่ดีก่อนแล้วว่าจำเลยครอบครองเป็นเจ้าของที่พิพาทอยู่ การได้มาซึ่งที่พิพาทของโจทก์จึงเป็นไปโดยไม่สุจริตจะใช้ยันแก่จำเลยหาได้ไม่
คดีนี้แม้โจทก์จะได้ซื้อกรรมสิทธิที่ดินมาจากนางหอม ได้จดทะเบียนสิทธิและเสียค่าตอบแทน แต่เมื่อได้ความตามคำของโจทก์เองว่าโจทก์ได้เห็นจำเลยทำนาพิพาทตั้งแต่ก่อนโจทก์ซื้อ ประกอบกับพฤติการณ์ที่โจทก์ขอซื้อที่พิพาทจากจำเลย ดังได้กล่าวมาดังนี้แล้ว ต้องฟังว่าโจทก์ทราบอยู่ดีก่อนแล้วว่าจำเลยครอบครองเป็นเจ้าของที่พิพาทอยู่ การได้มาซึ่งที่พิพาทของโจทก์จึงเป็นไปโดยไม่สุจริตจะใช้ยันแก่จำเลยหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1277/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้มาซึ่งกรรมสิทธิโดยการครอบครองปรปักษ์ และผลของการได้มาโดยไม่สุจริต
ในโฉนดมีชื่อของนางหอมพี่น้องของจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าที่พิพาทบางส่วนในโฉนดนี้จำเลยครอบครองมากว่า 10 ปีแล้ว เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานว่าจำเลยครอบครองมาโดยอาศัยสิทธิของนางหอมอย่างใดก็ต้องฟังว่าจำเลยครองมาโดยเจตนาเป็นเจ้าของโดยถือว่าบิดามารดายกให้ตามข้อต่อสู้ของจำเลย ๆ จึงได้กรรมสิทธิ
คดีนี้แม้โจทก์จะได้ซื้อกรรมสิทธิที่ดินมาจากนางหอม ได้จดทะเบียนสิทธิและเสียค่าตอบแทน แต่เมื่อได้ความตามคำของโจทก์เองว่าโจทก์ได้เห็นจำเลยทำนาพิพาทตั้งแต่ก่อนโจทก์ซื้อ ประกอบกับพฤติการณ์ที่โจทก์ขอซื้อที่พิพาทจากจำเลยดังได้กล่าวมาดังนี้แล้วต้องฟังว่าโจทก์ทราบอยู่ดีก่อนแล้วว่าจำเลยครอบครองเป็นเจ้าของที่พิพาทอยู่ การได้มาซึ่งที่พิพาทของโจทก์จึงเป็นไปโดยไม่สุจริตจะใช้ยันแก่จำเลยหาได้ไม่
คดีนี้แม้โจทก์จะได้ซื้อกรรมสิทธิที่ดินมาจากนางหอม ได้จดทะเบียนสิทธิและเสียค่าตอบแทน แต่เมื่อได้ความตามคำของโจทก์เองว่าโจทก์ได้เห็นจำเลยทำนาพิพาทตั้งแต่ก่อนโจทก์ซื้อ ประกอบกับพฤติการณ์ที่โจทก์ขอซื้อที่พิพาทจากจำเลยดังได้กล่าวมาดังนี้แล้วต้องฟังว่าโจทก์ทราบอยู่ดีก่อนแล้วว่าจำเลยครอบครองเป็นเจ้าของที่พิพาทอยู่ การได้มาซึ่งที่พิพาทของโจทก์จึงเป็นไปโดยไม่สุจริตจะใช้ยันแก่จำเลยหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 162/2487
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองทรัพย์สินที่สูญหายจากภัยธรรมชาติ: การลักทรัพย์ไม้ที่ลอยน้ำ
ไม้ของบริษัทไม้ไทยได้ลอยเข้าทุ่งเข้าป่าเมื่อคราวน้ำท่วมจำเลยเก็บได้แล้วเอาไปเลื่อยโดยเจตนาทุจริต ย่อมมีความผิดฐานลักทรัพย์เพราะไม้ของบริษัทที่ไหลลอยเช่นนี้ต้องถือว่าไม้นั้นยังอยู่ในความครอบครองของบริษัทโดยปริยาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 162/2487 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์ไม้ที่ลอยมากับน้ำท่วม: ไม้ยังอยู่ภายใต้การครอบครองของเจ้าของ
ไม้ของบริสัทไม้ไทยได้ลอยเข้าทุ่งเข้าป่าเมื่อคราวน้ำท่วม จำเลยเก็บได้แล้วเอาไปเลื่อนโดยเจตนาทุจริต ย่อมมีความผิดถานลักทรัพย์เพระาไม้ของบริสัทที่ไหลลอบเช่นนี้ต้องถือว่าไม้นั้นยังหยู่ไนความครอบครองของบริสัทโดบปริยาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 162/2486
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ไม้ลอยน้ำยังถือเป็นทรัพย์สินของเจ้าของ ผู้เก็บไปเลื่อยโดยเจตนาทุจริตมีความผิดฐานลักทรัพย์
ไม้ของบริษัทไม้ไทยได้ลอยเข้าทุ่งเข้าป่าเมื่อคราวน้ำท่วม จำเลยเก็บได้แล้วเอาไปเลื่อยโดยเจตนาทุจริตย่อมมีความผิดฐานลักทรัพย์เพราะไม้ของบริษัทที่ไหลลอยเช่นนี้ต้องถือว่าไม้นั้นยังอยู่ในความครอบครองของบริษัทโดยปริยาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 273/2474
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิใช้ทาง (ทางเดิน) เกิดขึ้นได้จากการใช้ต่อเนื่องกว่า 10 ปี แม้เจ้าของที่ดินจะพยายามปิดกั้น
ที่ดิน ทางเดิร เดิรมา 10 ปีกว่าได้สิทธิที่จะเดิรต่อไป