พบผลลัพธ์ทั้งหมด 53 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6602/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงกฎหมายระหว่างการพิจารณาคดีและการใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่ในการตัดสิน
แม้ขณะเกิดเหตุกฎหมายจะบัญญัติโทษสำหรับความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายจำคุกขั้นต่ำตั้งแต่ 5 ปี ขึ้นไปก็ตาม แต่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นได้มีการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวโดยกำหนดโทษจำคุกขั้นต่ำเป็นตั้งแต่ 4 ปี ขึ้นไป เมื่อกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะศาลทำการพิจารณาเป็นเช่นนี้ ในการวินิจฉัยกรณีตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 จึงต้องถือตามนั้น การที่ศาลจะต้องฟังพยานโจทก์หรือไม่ เป็นเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายวิธีพิจารณา ดังนั้น เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยได้โดยไม่ต้องฟังพยานโจทก์ก่อน. (อ้างฎีกาประชุมใหญ่ที่ 1303/2503)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3324/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบทรัพย์สินจากคดียาเสพติด: ศาลฎีกาชี้ว่าเมื่อศาลอุทธรณ์ตัดสินว่าทรัพย์สินไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ต้องคืนให้เจ้าของ
ตามพระราชบัญญัติมาตราการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 29 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "บรรดาทรัพย์สินซึ่งพนักงานอัยการได้ยื่นคำร้องต่อศาลตามมาตรา 27 วรรคหนึ่งนั้น ให้ศาลไต่สวน หากคดีมีมูลว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินนั้นเว้นแต่บุคคลซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินได้ยื่นคำร้องขอคืนก่อนคดีถึงที่สุดและแสดงให้ศาลเห็นว่า (1) ตนเป็นเจ้าของที่แท้จริงและทรัพย์สินนั้นไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือ..."
ดังนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยยกคำร้องของโจทก์แล้ว คดีย่อมฟังเป็นยุติว่า เงินสดของกลางจำนวน 220,200 บาท ที่โจทก์ขอให้ริบนั้น มิใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และจะต้องคืนให้แก่บุคคลผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริง เมื่อปรากฏตามคำร้องของโจทก์ว่าเงินสดของกลางจำนวนดังกล่าวเป็นของจำเลยและทั้งจำเลยก็ได้ยื่นคำร้องคัดค้านขอคืนเงินดังกล่าวแก่จำเลยด้วยแล้ว จึงชอบที่จะคืนเงินสดของกลางให้แก่จำเลย จึงทำให้คดีไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าผู้ใดเป็นเจ้าของเงินสดของกลางนั้นอีก การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 หยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยแล้วฟังว่าจำเลยมิใช่เจ้าของเงินสดของกลางที่แท้จริง จึงไม่อาจที่จะสั่งคืนให้แก่จำเลยนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
ดังนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยยกคำร้องของโจทก์แล้ว คดีย่อมฟังเป็นยุติว่า เงินสดของกลางจำนวน 220,200 บาท ที่โจทก์ขอให้ริบนั้น มิใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และจะต้องคืนให้แก่บุคคลผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริง เมื่อปรากฏตามคำร้องของโจทก์ว่าเงินสดของกลางจำนวนดังกล่าวเป็นของจำเลยและทั้งจำเลยก็ได้ยื่นคำร้องคัดค้านขอคืนเงินดังกล่าวแก่จำเลยด้วยแล้ว จึงชอบที่จะคืนเงินสดของกลางให้แก่จำเลย จึงทำให้คดีไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าผู้ใดเป็นเจ้าของเงินสดของกลางนั้นอีก การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 หยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยแล้วฟังว่าจำเลยมิใช่เจ้าของเงินสดของกลางที่แท้จริง จึงไม่อาจที่จะสั่งคืนให้แก่จำเลยนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 298/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีและการตัดสินของศาลแขวงพระนครใต้ โดยมีผู้พิพากษาที่เกี่ยวข้อง
ศาลแขวงพระนครใต้ นายจตุรงค์ นาสมใจศาลอุทธรณ์ นายระพิณ บุญสิทธิ์
นายอนันต์ ชุมวิสูตร - ย่อ
นายอนันต์ ชุมวิสูตร - ย่อ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 895/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยขาดนัดพิจารณาคดีแรงงาน ศาลชอบที่จะพิจารณาและตัดสินคดีไปฝ่ายเดียวได้
เมื่อจำเลยไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์ซึ่งโจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อน ถือได้ว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 197 วรรคสอง ศาลชอบที่จะพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 202 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 โดยไม่จำต้องเลื่อนไปสืบพยานจำเลยอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1156/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองยาเสพติดและกัญชา: ศาลฎีกาตัดสินยืนตามคำฟ้องเดิมเรื่องการครอบครองยาเสพติดและเพิ่มโทษฐานครอบครองกัญชา
ตำรวจจับจำเลยได้พร้อมด้วยเฮโรอีน กัญชา และบ้องกัญชาเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติยาเสพติดฯ พ.ศ.2465 มาตรา 20 ทวิฉบับที่ 4 พ.ศ.2504 มาตรา 6 กระทงหนึ่ง ผิดตาม พระราชบัญญัติกัญชา พ.ศ.2477 มาตรา 102 กระทง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 131/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาและการสืบพยานฝ่ายเดียว ศาลมีอำนาจพิจารณาตัดสินคดีได้
ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่มาศาลในวันสืบพยานและมิได้ร้องขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่มาศาลเสียก่อนลงมือสืบพยาน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 197 วรรค 2 ให้ถือว่าคู่ความฝ่ายนั้นขาดนัดพิจารณา หาใช่ให้ศาลต้องคอยฟังเหตุผลจากฝ่ายนั้นก่อนไม่
ถ้าได้ส่งหมายกำหนดวันสืบพยานให้จำเลยทราบโดยชอบแล้ว จำเลยขาดนัดพิจารณา หากไม่มีเหตุให้ศาลเห็นเป็นอย่างอื่นแล้ว ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 202 ให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา
ความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 205 นั้น จะเป็นในวรรค 2 หรือ 3 ก็หมายความเฉพาะกรณีที่จำเลยมาศาล ในระหว่างการพิจารณาคดีฝ่ายเดียว ถ้ามาศาลเมื่อพ้นเวลาที่จะนำพยานของตนเข้าสืบแล้ว ก็ไม่อนุญาตให้จำเลยสืบพยานของตนได้
ศาลสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวเสร็จแล้วจำเลยก็มิได้มาศาล จึงไม่ใช่กรณีที่จะให้จำเลยสืบพยานได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 205 วรรค 3 (1) ต้องถือว่าเสร็จการพิจารณา (อ้างฎีกาที่ 976/2497, 250/2501).
ถ้าได้ส่งหมายกำหนดวันสืบพยานให้จำเลยทราบโดยชอบแล้ว จำเลยขาดนัดพิจารณา หากไม่มีเหตุให้ศาลเห็นเป็นอย่างอื่นแล้ว ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 202 ให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา
ความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 205 นั้น จะเป็นในวรรค 2 หรือ 3 ก็หมายความเฉพาะกรณีที่จำเลยมาศาล ในระหว่างการพิจารณาคดีฝ่ายเดียว ถ้ามาศาลเมื่อพ้นเวลาที่จะนำพยานของตนเข้าสืบแล้ว ก็ไม่อนุญาตให้จำเลยสืบพยานของตนได้
ศาลสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวเสร็จแล้วจำเลยก็มิได้มาศาล จึงไม่ใช่กรณีที่จะให้จำเลยสืบพยานได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 205 วรรค 3 (1) ต้องถือว่าเสร็จการพิจารณา (อ้างฎีกาที่ 976/2497, 250/2501).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 314/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บาดแผลเสียโฉม ถือเป็นบาดแผลสาหัส แม้ศาลอุทธรณ์เห็นต่าง ศาลฎีกาตัดสินตามศาลชั้นต้น
ถูกขว้างด้วยตะบอกที่โหนกแก้มแผลเป็น กว้างครึ่งเซนติเมตร ยาว 4 เซนติเมตร ศาลชั้นต้นบันทึกบาดแผลไว้ว่า ให้ผู้ถูกทำร้ายอยู่ห่าง 2 วา ก็เห็นแผลเป็นได้ชัด ศาลพิเคราะห์แล้วเปนบาดแผลเสียโฉม ดังนี้ เมื่อตามสำนวนไม่ปรากฏเป็นอย่างอื่น ก็ต้องถือว่าบาดแผลเสียโฉมติดตัวอันเป็นบาดแผลสาหัส
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1218/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตัดพยานก่อนหมดการสืบพยานไม่ชอบ ศาลต้องรอฟังพยานทั้งหมดก่อนตัดสิน
คดีที่โจทก์ยังประสงค์สืบพยานต่อไป และไม่อาจรู้ได้ว่า โจทก์จะมีพยานสนับสนุนข้อกล่าวอ้างเพียงใดนั้น ศาลจะไปสั่งตัดพยานเสียแล้วพิพากษายกฟ้อง ย่อมไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 213/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการชี้ขาดจำนวนเงินภาษีที่ประเมิน และขอบเขตการตัดสินคดีภาษี
พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 มาตรา 31 นั้นไม่ได้หมายความว่าศาลมีอำนาจเพียงชี้ว่าการประเมินนั้นได้กระทำถูกหรือไม่ถูกเท่านั้น แต่ศาลย่อมมีอำนาจชี้ขาดจำนวนเงินที่ประเมินด้วยได้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนเงิน 2,005 บาท 42 สตางค์แต่ศาลให้คืน 1,305 บาท 42 สตางค์นั้นไม่เป็นการตัดสินเกินคำขอ
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนเงิน 2,005 บาท 42 สตางค์แต่ศาลให้คืน 1,305 บาท 42 สตางค์นั้นไม่เป็นการตัดสินเกินคำขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 85/2489
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดในการฎีกา: ประเด็นที่เคยตัดสินแล้ว และประเด็นใหม่ที่ไม่เคยยกขึ้นในศาลอุทธรณ์
ปัญหาข้อใดที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยชี้ขาดไปแล้วจะฎีกาคัดค้านอีกไม่ได้
ปัญหาใดที่คู่ความมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ จะฎีกาไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา249
ปัญหาใดที่คู่ความมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ จะฎีกาไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา249