คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
สำนวน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 45 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1753/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยข้อเท็จจริงขัดสำนวน: ศาลฎีกาแก้ไขข้อเท็จจริงที่ศาลล่างวินิจฉัยคลาดเคลื่อนจากพยานหลักฐานในสำนวน
ในคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามมาตรา 238 และมาตรา 247 แต่ที่ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงโดยนำข้อเท็จจริงที่ไม่ปรากฎในสำนวนมาวินิจฉัย ทั้งขัดแย้งกับหลักฐานในสำนวนจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาย่อมวินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 (3) (ก) ประกอบมาตรา 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2713/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เขตอำนาจศาล: ความเห็นอัยการทหารเป็นที่สุดเมื่อส่งสำนวนให้ศาลพลเรือน คดีอยู่ในอำนาจศาลพลเรือน
แม้ในขณะกระทำความผิดจำเลยเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร แต่เมื่ออัยการทหารเห็นว่าเป็นคดีที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร และส่งสำนวนการสอบสวนให้พนักงานอัยการพิจารณาดำเนินคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาแล้ว กรณีจึงตกอยู่ในบังคับของมาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 ความเห็นของอัยการทหารที่วินิจฉัยว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจศาลทหารเป็นที่สุด แม้พนักงานอัยการจะมีความเห็นที่แตกต่างก็ไม่อาจส่งสำนวนการสอบสวนกลับคืนไปยังอัยการทหารอีกได้ และในกรณีเช่นนี้ ศาลพลเรือนจะปฏิเสธไม่ประทับฟ้องคดีดังกล่าวโดยเหตุว่าเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลทหารอีกมิได้ ตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4222/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทเรื่องการรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย: ศาลวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงในสำนวน
จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงนอกเหนือไปจากถ้อยคำที่ปรากฏในสำนวน โดยจำเลยที่ 1 อ้างว่า ที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ปรากฏอยู่ในสำนวนนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามสัญญาประกันวินาศภัย ซึ่งจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันทำไว้กับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 รับว่าได้รับประกันวินาศภัยจริง แต่กรมธรรม์ประกันภัยไม่คุ้มครองผู้บาดเจ็บหรือการมรณะของบุคคลภายนอกดังนี้ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ซึ่งมีปรากฏอยู่ตามเอกสารหมาย จ.2 ที่โจทก์อ้างส่ง และพยานจำเลยเองก็เบิกความรับ จึงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามที่มีปรากฏอยู่ในสำนวน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4222/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามสำนวน: สัญญาประกันภัยและการรับผิดตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัย
จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงนอกเหนือไปจากถ้อยคำที่ปรากฏในสำนวน โดยจำเลยที่ 1 อ้างว่า ที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ปรากฏอยู่ในสำนวนนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามสัญญาประกันวินาศภัย ซึ่งจำเลยที่ 2ผู้เอาประกันทำไว้กับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 รับว่าได้รับประกันวินาศภัยจริงแต่กรมธรรม์ประกันภัยไม่คุ้มครองผู้บาดเจ็บหรือการมรณะของบุคคลภายนอกดังนี้ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ซึ่งมีปรากฏอยู่ตามเอกสารหมาย จ.2 ที่โจทก์อ้างส่ง และพยานจำเลยเองก็เบิกความรับ จึงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามที่มีปรากฏอยู่ในสำนวน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3698/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รวมการพิจารณาคดีอาญา: ศาลไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยเป็นรายสำนวน
คดีอาญาที่รวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน หามีกฎหมายบทใดกำหนดให้ศาลต้องวินิจฉัยคดีเป็นรายสำนวนไม่
คดีทั้งเจ็ดสำนวนนี้ศาลอุทธรณ์ได้พิเคราะห์พยานหลักฐานและรวมวินิจฉัยทุกสำนวนแล้วเชื่อว่าจำเลยกระทำความผิดตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษา ศาลอุทธรณ์ไม่จำต้องวินิจฉัยเป็นรายคดีตามข้ออุทธรณ์ของจำเลยทั้งหมดเป็นรายสำนวนไปไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2815/2540 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาตามข้อเท็จจริงที่รับกันในสำนวน แม้มีประเด็นค่าอ้างเอกสาร
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์อ้างสัญญากู้ยืมเงินโดยไม่เสียค่าอ้างเอกสาร จึงไม่อาจรับฟังสัญญากู้เป็นพยานโจทก์ได้ ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์มิได้มีเจตนาหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าอ้างเอกสารแต่อย่างใด ขอให้ศาลอุทธรณ์ได้พิจารณารับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณาและพิพากษาต่อไปด้วยนั้น ตามอุทธรณ์ของโจทก์พอเข้าใจความหมายได้ว่าโจทก์ขอให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาคดีไปตามพยานหลักฐานเท่าที่ปรากฏในสำนวนของศาลชั้นต้น และเมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามท้องสำนวนรับฟังได้ตามคำรับของจำเลยทั้งสองว่าจำเลยทั้งสองกู้เงินโจทก์ไป ทั้งศาลชั้นต้นจะต้องพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรับผิดตามคำรับดังกล่าวแล้ว กรณีเช่นนี้ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาเพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความทุกฝ่ายตามข้อเท็จจริงที่รับกันและปรากฏอยู่ในสำนวนคดีนี้ได้ หาใช่เป็นการพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1936/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสารภาพของจำเลยและการพิจารณาคดีใหม่ ศาลฎีกาเห็นควรย้อนสำนวนเพื่อพิพากษาใหม่
หลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งประทับฟ้องแล้ว ต่อมาปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่า ศาลได้อ่านอธิบายฟ้องให้จำเลยเข้าใจแล้ว จำเลยแถลงสู้คดีและจะให้การวันนัดพิจารณา ครั้นถึงวันนัดพิจารณา จำเลยยื่นคำให้การ 1 ฉบับ พร้อมกับคำร้องอีก 1 ฉบับ โดยในคำให้การระบุว่า จำเลยทราบฟ้องของโจทก์แล้ว ขอรับสารภาพในการกระทำความผิดตามฟ้องในข้อหารับของโจร ตาม ป.อ.มาตรา 357 เพียงข้อหาเดียว ขอปฏิเสธข้อหาลักทรัพย์ส่วนคำร้องที่ยื่นมาพร้อมกันนั้น แม้จะมีข้อความซึ่งมีความหมายว่าจำเลยไม่รู้ว่าทรัพย์ที่รับไว้ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ก็ตาม แต่ก็เป็นข้อความในคำร้องที่จำเลยยื่นเข้ามาเพื่ออ้างเหตุให้ศาลรอการลงโทษเท่านั้น ไม่ใช่คำให้การว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำผิด และเมื่อศาลชั้นต้นได้สอบถามจำเลยในวันเดียวกันนั้น จำเลยก็ยืนยันตามคำให้การที่รับสารภาพฐานรับของโจรดังกล่าว ปรากฏตามที่ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ในคำให้การจำเลย นอกจากนี้ศาลชั้นต้นยังจดรายงานกระบวนพิจารณาในวันดังกล่าวโดยระบุว่า จำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจร ไม่ต่อสู้คดี ขอให้ลงโทษสถานเบา ซึ่งจำเลยก็ลงชื่อไว้อีก เช่นนี้ย่อมเป็นที่เห็นได้ชัดแล้วว่า จำเลยยืนยันที่จะให้การรับสารภาพฐานรับของโจรตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นได้พิจารณาและพิพากษาคดีไปโดยชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพื่อให้พิจารณาใหม่โดยไม่วินิจฉัยประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบศาลฎีกาเห็นควรที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ตามรูปคดีต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4151/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกสำนวนแม้มีข้อมูลในสำนวน, ทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาท
ฎีกาผู้ร้องที่ว่าในทางพิจารณาไม่มีการสืบพยานหลักฐานข้อเท็จจริงที่ว่าจ. ได้จดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินมรดกของต. และจ. ก็ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ยกให้แก่ผู้คัดค้านในวันเดียวกันแต่ศาลอุทธรณ์กลับหยิบยกเอาข้อเท็จจริงนอกสำนวนนี้ขึ้นมาวินิจฉัยพิพากษาคดีจึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นเมื่อข้อเท็จจริงดังกล่าวมีอยู่ในสำนวนมิใช่ข้อเท็จจริงนอกสำนวนการที่ผู้ร้องกลับฎีกาว่าไม่มีข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน200,000บาทต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2609/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และการชำระหนี้หลังมีคำพิพากษา ศาลชั้นต้นไม่ต้องส่งสำนวนคืน
เมื่อศาลอุทธรณ์ทำคำพิพากษาเสร็จแล้วได้ส่งคำพิพากษาพร้อมสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นอ่านตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา209เป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นที่จะดำเนินการให้มีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา182ต่อไปการที่มีการเลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา182ต่อไปการที่มีการเลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปเป็นระยะๆ และจำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์ร่วมไปบ้างแล้วเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นใหม่ซึ่งไม่มีกฎหมายบังคับให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนคืนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาใหม่เพราะหนี้ที่จำเลยได้ออกเช็คเพื่อใช้เงินนั้นยังไม่สิ้นผลผูกพันการที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปโดยมิได้ส่งสำนวนคืนศาลอุทธรณ์พร้อมทั้งรายงานการชำระหนี้ของจำเลยให้ศาลอุทธรณ์ทราบจึงหาเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดต่อกฎหมายแต่อย่างใดไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5132-5135/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดหลายกรรมต่างกัน การรวมโทษ และวันสิ้นสุดคดี ศาลชอบแล้วที่จะออกหมายจำคุกแยกตามวันถึงที่สุดแต่ละสำนวน
จำเลยถูกฟ้องรวม4สำนวนซึ่งเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันแม้จะเกี่ยวพันกันแต่ศาลชั้นต้นก็มิได้ให้รวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันและมิได้อ่านคำพิพากษาในวันเดียวกันวันถึงที่สุดของแต่ละสำนวนย่อมแตกต่างกันจึงไม่ชอบที่จำเลยจะขอให้ออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดในวันเดียวกันและในหมายจำคุกฉบับเดียวกันได้
of 5