พบผลลัพธ์ทั้งหมด 439 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1312/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลดโทษคดีข่มขืนกระทำชำเราจากคำรับสารภาพที่ไม่ถือเป็นการจำนนต่อหลักฐาน
จำเลยกระทำความผิดข่มขืนกระทำชำเรา สำเร็จและหลบหนีไปแล้วเจ้าพนักงานจึงมาที่เกิดเหตุ ต่อมาจับจำเลยได้ ดังนี้ยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยจำนนต่อ พยานหลักฐาน คำรับ สารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน จึงเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 92/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความผิดฐานปล้นทรัพย์โดยอาศัยคำรับสารภาพของผู้ต้องหา, พยานหลักฐานประกอบ, และการชี้ตัวผู้เสียหาย
ขณะเจ้าพนักงานตำรวจจับกุม จำเลยที่ 2 จอดรถจักรยานยนต์ไม่มีป้ายวงกลมเสียภาษีอยู่ในที่มืด ระหว่างนั้นก็มีชายคนหนึ่งวิ่งเลยไปและจำเลยที่ 1 ถืออาวุธปืนวิ่งมานั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่เจ้าพนักงานสตาร์ตอยู่แล้วจำเลยที่ 1 สั่งให้ออกรถ เจ้าพนักงานจึงจับกุมจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพว่าได้ร่วมกันปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย แม้โจทก์จะไม่ได้ตัวผู้เสียหายมาเบิกความยืนยัน แต่โจทก์มีนายจอห์น ซึ่งไม่รู้จักจำเลยทั้งสองมาก่อน เบิกความยืนยันว่าในชั้นสอบสวนตนเป็นล่ามแปลคำให้การของผู้เสียหาย และผู้เสียหายให้การไว้ตามเอกสารที่โจทก์อ้างส่งศาล ประกอบกับพนักงานสอบสวนเบิกความยืนยันว่าผู้เสียหายได้ให้การต่อตนโดยมีนายจอห์นเป็นล่ามแปล และได้จดคำให้การของผู้เสียหายไว้ตามเอกสารดังกล่าวทั้งได้จัดให้ผู้เสียหายชี้ตัวจำเลยทั้งสอง และนำจำเลยทั้งสองกับผู้เสียหายไปชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำให้การรับสารภาพต่อหน้าประชาชนตามบันทึกการชี้ตัวและภาพถ่ายที่โจทก์อ้างส่งศาล น่าเชื่อว่าจำเลยทั้งสองให้การด้วยความสมัครใจ คำให้การของจำเลยทั้งสองก็สอดคล้องต้องกันกับคำให้การของผู้เสียหาย และเหตุที่จำเลยทั้งสองถูกจับกุมก็ตรงกับคำเบิกความของเจ้าพนักงานจับกุม ดังนี้ ฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองกับพวกปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 77/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดจากคำเบิกความผู้เสียหาย, พยานแวดล้อม, และคำรับสารภาพประกอบด้วยเหตุผลสมจริง
ผู้เสียหายได้ชี้ตัวจำเลยในชั้นสอบสวนซึ่งจำเลยมิได้โต้แย้งอย่างใด แม้ขณะที่ยืนเข้าแถวให้ชี้ตัวจำเลยมีผ้าพันแผลที่แขนซ้ายต่างจากคนอื่นๆ เมื่อไม่ปรากฏว่าได้มีการแจ้งให้ผู้เสียหายทราบล่วงหน้าก่อนชี้ตัวว่าจำเลยมีผ้าพันแผลดังกล่าว จะตั้งข้อสงสัยเอาและถือเป็นพิรุธย่อมจะไม่ได้เพราะมีข้อแตกต่างอื่นๆ อีกหลายประการระหว่างจำเลยกับคนอื่น ๆเช่น เสื้อผ่้าและรูปร่างผิวพรรณ ซึ่งถ้าจะแจ้งแก่ผู้เสียหายให้รู้ว่า จำเลยคืนคนไหน ย่อมทำได้อยู่แล้ว ข้อที่มีผ้าพันแผลดังกล่าวจึงไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะไม่เชื่อถือการชี้ตัวจำเลย.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 754/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายจนเสียโฉม ถือเป็นอันตรายสาหัส แม้รักษาไม่เกิน 14 วัน ศาลรับฟังข้อเท็จจริงจากคำรับสารภาพได้
ใบหูเป็นส่วนหนึ่งของใบหน้าที่ประกอบรูปหน้าให้งาม การที่ใบหูหลุดขาดแหว่ง ไปถึงหนึ่งในสาม ย่อมทำให้รูปหน้าเสียความงามอันเป็นการเสียโฉมอย่างติดตัว เป็นอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 แล้ว ความผิดในข้อหาที่โจทก์ฟ้อง กฎหมายมิได้กำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป หรือโทษสถานที่หนักกว่านั้นเมื่อจำเลยรับสารภาพศาลก็มีอำนาจรับฟังข้อเท็จจริงตามฟ้องแล้วพิพากษาคดีได้โดยไม่ต้องสืบพยาน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3414/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับสารภาพในคดีเช็ค: โจทก์ไม่ต้องสืบพยานประกอบ หากข้อเท็จจริงตามฟ้องเป็นยุติ
ในคดีความผิดเกี่ยวกับการใช้เช็คซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี โจทก์ไม่จำต้องสืบพยานประกอบคำให้การรับสารภาพของจำเลย แม้เป็นกรณีที่จำเลยให้การรับสารภาพเมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว ข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญอันเป็นองค์ประกอบของความผิดก็ต้องรับฟังเป็นยุติดังที่โจทก์กล่าวในฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3370/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับสารภาพฐานลักทรัพย์ในเคหสถาน แม้ไม่ได้ระบุชัดเจน ศาลลงโทษตามมาตรา 335 ได้
โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างเวลากลางคืนก่อนเที่ยงถึงเวลากลางวันวันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยได้เข้าไปลักทรัพย์ของผู้เสียหายซึ่งอยู่ในเคหสถานไปโดยทุจริตหรือมิฉะนั้นจำเลยได้กระทำผิดฐานรับของโจรทรัพย์ที่ถูกลักไป เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางวันจริงตามฟ้องเช่นนี้ ก็ต้องฟังว่าจำเลยลักทรัพย์ในเคหสถานตามที่ปรากฏในคำฟ้องโจทก์ด้วยศาลลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(8) วรรคแรกได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2342/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับสารภาพมีผลผูกพัน ห้ามฎีกาเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงเดิม และโทษปรับตามกฎหมายศุลกากรต้องเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง คดีต้อง ฟังตามคำรับสารภาพของจำเลยว่า จำเลยมีเจตนากระทำผิดดัง โจทก์ฟ้อง จำเลยจะฎีกาโต้เถียง ข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะไม่ใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลล่าง ต้องห้าม ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษจำเลยฐาน นำเงินตราไทยออกไปนอกราชอาณาจักร ตามพระราชบัญญัตศุลกากร พ.ศ. 2469 ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีบทลงโทษหนักกว่าพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน พ.ศ. 2485 ซึ่งตามฟ้องของโจทก์ต้องด้วย พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469มาตรา 27 โดย กฎหมายมาตรานี้บัญญัติเกี่ยวกับโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำผิดว่า...สำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ ให้ปรับเป็นเงินสี่เท่าราคาของซึ่ง ได้ รวมค่าอากรด้วย แล้ว หรือจำคุกไม่เกินสิบปีหรือทั้งปรับทั้งจำ คดีนี้ศาลชั้นต้นปรับจำเลยเป็นเงินสี่เท่าของจำนวน เงินตรา ที่นำออกไปนอกราชอาณาจักรตาม กฎหมายแล้ว ซึ่ง บทกฎหมายดังกล่าวมิได้ให้ดุลพินิจ ศาลที่จะใช้ อำนาจปรับให้น้อยกว่านั้นหรือเป็นอย่างอื่นได้ ศาลฎีกาไม่อาจปรับให้น้อยลง หรือลงโทษสถานเบากว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนด
เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษจำเลยฐาน นำเงินตราไทยออกไปนอกราชอาณาจักร ตามพระราชบัญญัตศุลกากร พ.ศ. 2469 ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีบทลงโทษหนักกว่าพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน พ.ศ. 2485 ซึ่งตามฟ้องของโจทก์ต้องด้วย พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469มาตรา 27 โดย กฎหมายมาตรานี้บัญญัติเกี่ยวกับโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำผิดว่า...สำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ ให้ปรับเป็นเงินสี่เท่าราคาของซึ่ง ได้ รวมค่าอากรด้วย แล้ว หรือจำคุกไม่เกินสิบปีหรือทั้งปรับทั้งจำ คดีนี้ศาลชั้นต้นปรับจำเลยเป็นเงินสี่เท่าของจำนวน เงินตรา ที่นำออกไปนอกราชอาณาจักรตาม กฎหมายแล้ว ซึ่ง บทกฎหมายดังกล่าวมิได้ให้ดุลพินิจ ศาลที่จะใช้ อำนาจปรับให้น้อยกว่านั้นหรือเป็นอย่างอื่นได้ ศาลฎีกาไม่อาจปรับให้น้อยลง หรือลงโทษสถานเบากว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2342/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับสารภาพผูกพัน-โทษจำกัดตามกฎหมาย: ศาลฎีกาไม่ปรับโทษลดลง
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง คดีต้อง ฟังตามคำรับสารภาพของจำเลยว่า จำเลยมีเจตนากระทำผิดดัง โจทก์ฟ้อง จำเลยจะฎีกาโต้เถียง ข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะไม่ใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลล่าง ต้องห้าม ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษจำเลยฐาน นำเงินตราไทยออกไปนอกราชอาณาจักร ตามพระราชบัญญัตศุลกากร พ.ศ. 2469 ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีบทลงโทษหนักกว่าพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน พ.ศ. 2485 ซึ่งตามฟ้องของโจทก์ต้องด้วย พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469มาตรา 27 โดย กฎหมายมาตรานี้บัญญัติเกี่ยวกับโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำผิดว่า...สำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ ให้ปรับเป็นเงินสี่เท่าราคาของซึ่ง ได้ รวมค่าอากรด้วย แล้ว หรือจำคุกไม่เกินสิบปีหรือทั้งปรับทั้งจำ คดีนี้ศาลชั้นต้นปรับจำเลยเป็นเงินสี่เท่าของจำนวน เงินตรา ที่นำออกไปนอกราชอาณาจักรตาม กฎหมายแล้ว ซึ่ง บทกฎหมายดังกล่าวมิได้ให้ดุลพินิจ ศาลที่จะใช้ อำนาจปรับให้น้อยกว่านั้นหรือเป็นอย่างอื่นได้ ศาลฎีกาไม่อาจปรับให้น้อยลง หรือลงโทษสถานเบากว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1803/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับสารภาพที่ได้จากการถูกข่มขู่ ไม่เป็นประโยชน์ในการลดโทษ
แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมว่าได้ฆ่าผู้ตาย แต่ในชั้นพิจารณาจำเลยให้การปฏิเสธ และนำสืบว่าคำให้การรับสารภาพดังกล่าวเนื่องจากถูกเจ้าพนักงานตำรวจข่มขู่ ซึ่งหมายความว่าจำเลยมิได้ให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจหรือตามความเป็นจริง กรณีจึงถือว่าไม่มีคำรับของจำเลยในชั้นจับกุมอันจะเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ที่จะเป็นเหตุบรรเทาโทษเพื่อยกขึ้นเป็นข้ออ้างสำหรับลดโทษให้จำเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 970/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาและเหตุบรรเทาโทษได้ แม้ผู้เสียหายไม่เบิกความ
โจทก์ไม่สามารถติดตามผู้เสียหายมาเบิกความในชั้นพิจารณาได้พยานหลักฐานของโจทก์คงมีเพียงพยานแวดล้อมกรณีกับคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายเท่านั้น ดังนี้ คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนนับว่าเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา.