คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คำให้การขัดแย้ง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 47 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7047/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำให้การขัดแย้งและไม่ชัดเจน ทำให้จำเลยไม่มีประเด็นนำสืบ แต่คดีมีประเด็นข้อพิพาท โจทก์ต้องนำสืบตามฟ้อง
คำให้การที่ขัดแย้งกันเองได้แก่คำให้การที่ยืนยันข้อเท็จจริงหลายทางไม่ชัดแจ้งว่าข้อเท็จจริงที่ให้การนั้นเป็นไปในทางหนึ่งทางใด ตอนแรกจำเลยให้การว่าจำเลยไม่เคยรู้จักหรือไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ จำเลยไม่ได้ลงชื่อในสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้อง ลายมือชื่อดังกล่าวเป็นลายมือชื่อปลอม จำเลยไม่เคยกู้เงินและไม่เคยรับเงินจากโจทก์ แต่ในตอนต่อมาจำเลยกลับให้การว่า สัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์นำมาฟ้องเกิดจากภริยาจำเลยเคยกู้ยืมเงินจากโจทก์และภริยาจำเลยได้ชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์ไม่ได้คืนสัญญากู้ยืมเงินที่จำเลยลงลายมือชื่อไว้โดยไม่ได้กรอกข้อความและให้โจทก์ยึดถือไว้ในการที่ภริยาจำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์ แล้วโจทก์กรอกข้อความในสัญญาดังกล่าวโดยที่ไม่มีมูลหนี้ต่อกันคำให้การดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้งว่าจำเลยไม่ได้กู้เงินโจทก์และหนังสือสัญญากู้เป็นเอกสารปลอม แต่เหตุแห่งการปฏิเสธขัดแย้งกันไม่ชัดแจ้งว่าสัญญากู้ยืมเงินเป็นเอกสารปลอมเพราะเหตุใด คำให้การของจำเลยดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง
แม้จำเลยไม่มีประเด็นนำสืบตามคำให้การ แต่คดียังมีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินและรับเงินไปจากโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ ซึ่งโจทก์จะต้องนำสืบให้ได้ความตามฟ้อง จึงจะชนะคดีได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4228/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำให้การขัดแย้งกันในคดีครอบครองที่ดิน ทำให้ขาดประเด็นข้อพิพาทเรื่องอายุความ
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร จำเลยให้การในตอนแรกว่า ที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ตามฟ้องของโจทก์ เป็นที่ดินต่างแปลงกับที่ดินที่จำเลยครอบครองและทำประโยชน์ แต่จำเลยกลับให้การในตอนหลังว่า ถึงแม้ที่ดินตามฟ้องจะเป็นของโจทก์ แต่โจทก์ไม่ได้ฟ้องคดีภายใน 1 ปี นับแต่จำเลยแย่งการครอบครองคดีของโจทก์ขาดอายุความ ซึ่งเท่ากับว่าเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยหรือของโจทก์และเป็นคำให้การที่ขัดแย้งกับคำให้การในตอนแรกของจำเลยเอง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 177 วรรคสองคดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในกำหนดเวลา 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองหรือไม่ แม้ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวมา ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4228/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดินพิพาท: คำให้การขัดแย้งและอายุความฟ้องร้อง
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร จำเลยให้การในตอนแรกว่า ที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)ตามฟ้องของโจทก์เป็นที่ดินต่างแปลงกับที่ดินที่จำเลยครอบครองและทำประโยชน์แต่จำเลยกลับให้การในตอนหลังว่า ถึงแม้ที่ดินตามฟ้องจะเป็นของโจทก์ แต่โจทก์ไม่ได้ฟ้องคดีภายใน 1 ปี นับแต่จำเลยแย่งการครอบครอง คดีของโจทก์ขาดอายุความซึ่งเท่ากับว่าเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยหรือของโจทก์และเป็นคำให้การที่ขัดแย้งกับคำให้การในตอนแรกของจำเลยเองไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในกำหนดเวลา 1 ปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6651/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำให้การชั้นสอบสวนขัดแย้งกับพยานหลักฐาน และการถูกขู่เข็น ทำให้คำรับสารภาพไม่น่าเชื่อถือ ศาลพิพากษายกฟ้อง
ฉ. เบิกความว่าเห็นจำเลยทั้งสองขับรถจักรยานยนต์ไปบ้านของผู้เสียหายแต่ตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่2ได้ความว่าได้เดินไปทั้งไปและกลับนอกจากนี้ตอนส.ไปรับอาวุธปืนของกลางที่กุฎิของป. ส. เบิกความว่าอาวุธปืนอยู่ในเป้อยู่ที่กุฎิป. ไม่พบจำเลยที่2แต่ในคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่2ระบุว่าจำเลยที่2เป็นคนหยิบเป้ใส่อาวุธปืนให้ส. ข้อเท็จจริงที่ปรากฎในคำให้การชั้นสอบสวนแตกต่างกับพยานโจทก์และพยานจำเลยที่นำสืบทั้งจำเลยที่2โต้เถียงว่าถูกขู่ให้รับสารภาพคำให้การชั้นสอบสวนจึงไม่ชอบไม่อาจใช้ยันจำเลยที่2ในชั้นพิจารณาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา134และ135

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6275/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำให้การขัดแย้งและการไม่แสดงเจตนาชัดเจนในข้ออ้างของโจทก์ ทำให้ไม่มีประเด็นให้วินิจฉัย
คำให้การของจำเลยที่ 1 ตอนแรกเป็นการปฏิเสธว่าเช็คพิพาทไม่ใช่เช็คของจำเลยที่ 1 แต่ตอนหลังกลับให้การว่า หากศาลฟังว่าเช็คพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ก็ขอให้การต่อสู้ต่อไปว่า โจทก์ได้รับโอนเช็คมาจากจำเลยที่ 2 โดยไม่สุจริต คำให้การดังกล่าวขัดกันเองเป็นการไม่แสดงให้เห็นแจ้งชัดว่า จำเลยที่ 1 ยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน เป็นคำให้การไม่ชอบ ไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า โจทก์รับโอนเช็คพิพาทจากจำเลยที่ 2 โดยไม่สุจริตด้วยคบคิดกับจำเลยที่ 2 ฉ้อฉลจำเลยที่ 1 หรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์รับโอนเช็คพิพาทจากจำเลยที่ 2 โดยไม่สุจริตด้วยคบคิดกันฉ้อฉลจึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6275/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำให้การขัดแย้งไม่ชัดเจน ถือเป็นคำให้การไม่ชอบ ศาลไม่ต้องวินิจฉัยประเด็นที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากัน
คำให้การของจำเลยที่1ตอนแรกเป็นการปฏิเสธว่าเช็คพิพาทไม่ใช่เช็คของจำเลยที่1แต่ตอนหลังกลับให้การว่าหากศาลฟังว่าเช็คพิพาทเป็นของจำเลยที่1จำเลยที่1ก็ขอให้การต่อสู้ต่อไปว่าโจทก์ได้รับโอนเช็คมาจากจำเลยที่2โดยไม่สุจริตคำให้การดังกล่าวขัดกันเองเป็นการไม่แสดงให้เห็นแจ้งชัดว่าจำเลยที่1ยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วนเป็นคำให้การไม่ชอบไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าโจทก์รับโอนเช็คพิพาทจากจำเลยที่2โดยไม่สุจริตด้วยคบคิดกับจำเลยที่2ฉ้อฉลจำเลยที่1หรือไม่ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์รับโอนเช็คพิพาทจากจำเลยที่2โดยไม่สุจริตด้วยคบคิดกันฉ้อฉลจึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5530/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำให้การขัดแย้งและประเด็นข้อพิพาทไม่ชัดเจน ทำให้ไม่เกิดประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์
ตามรายงานกระบวนพิจารณาในวันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่า จำเลยเช่าที่ดินพิพาทตามฟ้องโจทก์หรือไม่ส่วนคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยขัดกัน โดยจำเลยรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทจริง แล้วกลับให้การอีกว่า จำเลยได้ที่ดินพิพาทมาจาก พ.แล้วเข้าครอบครองอย่างเป็นเจ้าของโดยความสงบ โดยเปิดเผยเกิน 10 ปี จากคำให้การและฟ้องแย้งดังกล่าวจึงไม่ทราบได้แน่ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือของ พ.หรือของจำเลยจึงเป็นคำให้การที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่เกิดประเด็น ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่าจำเลยเช่าที่ดินพิพาทตามฟ้องโจทก์หรือไม่อันเป็นประเด็นหลัก จึงครอบคลุมถึงประเด็นที่ว่าสัญญาเช่าปลอมหรือไม่และจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ด้วยแล้วจึงไม่ตรงกับรายงานการชี้สองสถานของศาลชั้นต้นว่า คำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยขัดกัน จึงไม่มีประเด็นว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์ อย่างไรก็ดี ศาลฎีกาเห็นว่า คำฟ้องของโจทก์บรรยายไว้ชัดแจ้งว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยได้รับมรดกมาจาก ส.และ พ.ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2533 ส่วนคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนแรกจำเลยยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจริง ดังนั้นคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนต่อมาว่า จำเลยและบริวารปลูกบ้านเรือนอยู่ในบางส่วนของที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยเองโดยได้รับการยกให้จาก พ.และจำเลยได้ครอบครองในฐานะเจ้าของตลอดมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยเกินกว่า 10 ปีแล้วขัดกับคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนแรกที่ยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจริงตามฟ้อง ซึ่งก็คือยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยชอบมาตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2533 นั่นเอง จึงเป็นคำให้การและฟ้องแย้งที่ขัดกันเองและไม่แสดงโดยชัดแจ้งว่า จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์และไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาโดยชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง และมาตรา 172 วรรคสองจึงไม่เกิดเป็นประเด็นว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ ส่วนประเด็นที่ว่าสัญญาเช่าเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ คงรวมอยู่ในประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ว่าจำเลยเช่าที่ดินพิพาทตามฟ้องโจทก์หรือไม่แล้ว



คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5530/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำให้การขัดแย้งและประเด็นการครอบครองปรปักษ์: ศาลฎีกายืนคำพิพากษาเดิม
ตามรายงานกระบวนพิจารณาในวันชี้สองสถานศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่าจำเลยเช่าที่ดินพิพาทตามฟ้องโจทก์หรือไม่ส่วนคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยขัดกันโดยจำเลยรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทจริงแล้วกลับให้การอีกว่าจำเลยได้ที่ดินพิพาทมาจากพ. แล้วเข้าครอบครองอย่างเป็นเจ้าของโดยความสงบโดยเปิดเผยเกิน10ปีจากคำให้การและฟ้องแย้งดังกล่าวจึงไม่ทราบได้แน่ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือของพ. หรือของจำเลยจึงเป็นคำให้การที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่เกิดประเด็นดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่าจำเลยเช่าที่ดินพิพาทตามฟ้องโจทก์หรือไม่อันเป็นประเด็นหลักจึงครอบคลุมถึงประเด็นที่ว่าสัญญาเช่าปลอมหรือไม่และจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ด้วยแล้วจึงไม่ตรงกับรายงานการชี้สองสถานของศาลชั้นต้นว่าคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยขัดกันจึงไม่มีประเด็นว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์อย่างไรก็ดีศาลฎีกาเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์บรรยายไว้ชัดแจ้งว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยได้รับมรดกมาจากส. และพ.ตั้งแต่วันที่28มีนาคม2533ส่วนคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนแรกจำเลยยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจริงดังนั้นคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนต่อมาว่าจำเลยและบริวารปลูกบ้านเรือนอยู่ในบางส่วนของที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยเองโดยได้รับการยกให้จากพ.และจำเลยได้ครอบครองในฐานะเจ้าของตลอดมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยเกินกว่า10ปีแล้วขัดกับคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนแรกที่ยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจริงดังนั้นคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนต่อมาว่าจำเลยและบริวารปลูกบ้านเรือนอยู่ในบางส่วนของที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยเองโดยได้รับการยกให้จากพ. และจำเลยได้ครอบครองในฐานะเจ้าของตลอดมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยเกินกว่า10ปีแล้วขัดกับคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนแรกที่ยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจริงตามฟ้องซึ่งก็คือยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยชอบมาตั้งแต่วันที่28มีนาคม2533นั่นเองจึงเป็นคำให้การและฟ้องแย้งที่ขัดกันเองและไม่แสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์และไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาโดยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสองและมาตรา172วรรคสองจึงไม่เกิดเป็นประเด็นว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ส่วนประเด็นที่ว่าสัญญาเช่าเป็นเอกสารปลอมหรือไม่คงรวมอยู่ในประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ว่าจำเลยเช่าที่ดินพิพาทตามฟ้องโจทก์หรือไม่แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1210/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำให้การขัดแย้งและไม่ชัดเจน ทำให้ไม่มีประเด็นข้อพิพาทเรื่องการครอบครองภายใน 1 ปี และฎีกาต้องห้าม
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของมี สิทธิครอบครอง ที่ดินมือเปล่า จำเลยที่1 บุกรุกและนำที่ดินด้านทิศเหนือให้จำเลยที่2เช่าปลูกอ้อยจำเลยที่1ให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่1มิใช่ของโจทก์จำเลยที่1ครอบครองที่พิพาทมานาน8ปีแล้วหากจะฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์คดีก็ขาดอายุความเพราะจำเลยที่1เข้าทำประโยชน์มาก่อนฟ้องเกินกว่า1ปีดังนี้เป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยหรือของโจทก์และขัดแย้งกันเองไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสองคดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน1ปีนับแต่ถูกแย่งการครอบครองหรือไม่ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ในประเด็นดังกล่าวจึงไม่ชอบถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2631/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำให้การขัดแย้งและผลของการยอมรับข้ออ้างโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง
จำเลยให้การตอนแรกว่า จำเลยทำสัญญากู้เงินกับโจทก์จริงแต่ทำขึ้นเพื่อเป็นประกันการที่โจทก์ให้จำเลยเป็นตัวแทนนำเงินไปให้ผู้อื่นกู้ จำเลยไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้ เป็นการปฏิเสธว่ามิได้กู้เงินจากโจทก์ แต่คำให้การของจำเลยตอนหลังจำเลยให้การว่า หากฟังว่าจำเลยกู้เงินโจทก์จริง จำเลยได้ชำระเงินแก่โจทก์แล้วเป็นการรับว่าจำเลยกู้เงินโจทก์จริง คำให้การของจำเลยจึงขัดแย้งกัน จำเลยมิได้ปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์โดยชัดแจ้งว่าจำเลยไม่ได้ทำสัญญากู้เงินกับโจทก์ จึงเป็นคำให้การที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง ถือว่าจำเลยได้ยอมรับตามข้ออ้างของโจทก์
of 5