คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ความน่าเชื่อถือ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 210 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6827/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความน่าเชื่อถือของของกลางที่ไม่ตรงกัน ทำให้ขาดหลักฐานยืนยันความผิดฐานจำหน่ายยาเสพติด
เมื่อยาเม็ดของกลางซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจับและยึดได้จากจำเลย มีลักษณะและสีกับทั้งรายละเอียดอื่น ๆ บนเม็ดยาแตกต่างจากยาเม็ดของกลางซึ่งพนักงานสอบสวนส่งไปตรวจวิเคราะห์และพบว่าเป็นเมทแอมเฟตามีน ดังนี้ ยาเม็ดของกลางที่ถูกส่งไปตรวจพิสูจน์ดังกล่าวจึงมิใช่ยาเม็ดของกลางที่จับและยึดได้จากจำเลย กรณีจึงไม่อาจยืนยันได้แน่ชัดว่ายาเม็ดของกลางในคดีเป็นเมทแอมเฟตามีนหรือไม่ ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ทำการจับกุมจำเลยและพนักงานสอบสวนเอง ก็ไม่สามารถยืนยันในประเด็นเดียวกันนี้ได้ เช่นนี้ต้องถือว่าพยานหลักฐานต่าง ๆ ของโจทก์ยังมีความสงสัยตามสมควรจึงต้องยกประโยชน์ความสงสัยนี้ให้เป็นคุณแก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6827/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความน่าเชื่อถือของของกลางที่ไม่ตรงกัน ทำให้ไม่สามารถพิสูจน์ความผิดจำเลยได้
เมื่อยาเม็ดของกลางซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจับและยึดได้จากจำเลย มีลักษณะและสีกับทั้งรายละเอียดอื่น ๆ บนเม็ดยาแตกต่างจากยาเม็ดของกลางซึ่งพนักงานสอบสวนส่งไปตรวจวิเคราะห์และพบว่าเป็นเมทแอมเฟตามีน ดังนี้ ยาเม็ดของกลางที่ถูกส่งไปตรวจพิสูจน์ดังกล่าวจึงมิใช่ยาเม็ดของกลางที่จับและยึดได้จากจำเลย กรณีจึงไม่อาจยืนยันได้แน่ชัดว่ายาเม็ดของกลางในคดีเป็นเมทแอมเฟตามีนหรือไม่ ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ทำการจับกุมจำเลยและพนักงานสอบสวนเอง ก็ไม่สามารถยืนยันในประเด็นเดียวกันนี้ได้ เช่นนี้ต้องถือว่าพยานหลักฐานต่าง ๆ ของโจทก์ยังมีความสงสัยตามสมควรจึงต้องยกประโยชน์ความสงสัยนี้ให้เป็นคุณแก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6320/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาคดีอาญาโดยอาศัยพยานหลักฐานที่ไม่น่าเชื่อถือ: แสงสว่างไม่เพียงพอและไม่เคยรู้จักจำเลย
ผู้เสียหายเห็นคนร้ายโดยอาศัยแสงเทียนเล่มเล็ก ๆ เล่มเดียวซึ่งไม่น่าจะมีแสงสว่างเพียงพอในที่เกิดเหตุ ผู้เสียหายไม่เคยเห็นหน้าและไม่รู้จักจำเลยมาก่อนไม่น่าเชื่อว่าผู้เสียหายจะจำจำเลยได้ว่าเป็นคนร้าย ดังนั้น การเห็นภาพถ่ายจำเลยและชี้ตัวจำเลยว่าเป็นคนร้ายจึงไม่อาจรับฟังสนับสนุนคำเบิกความของผู้เสียหายได้กรณีมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 623/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย: หลักฐานมัดตัวจำเลยจากสายลับ, การรับสารภาพ, และความน่าเชื่อถือของคำให้การ
สถานีรถไฟที่เกิดเหตุเป็นสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านหากเจ้าพนักงานตำรวจไม่ได้รับข้อมูลจากสายลับแล้วก็ยากที่จะจับคนร้ายได้เมื่อจำเลยเป็นผู้หิ้วกระเป๋าหนังสีดำซึ่งภายในมีเสื้อผ้าของจำเลยและเฮโรอีนของกลางบรรจุอยู่โดยเฉพาะม้านั่งที่จำเลยนั่งและนำกระเป๋าไปวางนั้นไม่มีบุคคลอื่นใดนั่งปะปนอยู่ด้วยประกอบกับหลังจากทำบันทึกการจับกุมแล้วได้มีการถ่ายรูปจำเลยพร้อมของกลางไว้เป็นหลักฐานจึงน่าเชื่อว่าจำเลยได้ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมด้วยความสมัครใจหาใช่ถูกเจ้าพนักงานตำรวจบังคับให้ลงชื่อในบันทึกจับกุมโดยยังไม่ได้กรอกข้อความไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5428/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความน่าเชื่อถือพยานหลักฐานในคดีข่มขืนและบุกรุก: ข้อสงสัยในความสามารถในการมองเห็นและเจตนา
บ้านเกิดเหตุมีฝาทึบสูงเกือบถึงฝ้าเพดาน ไม่น่าเชื่อว่าแสงจันทร์จะส่องเข้าไปถึงได้ที่ผู้เสียหายเบิกความว่าเห็นคนร้ายจำได้ว่าเป็นจำเลยขณะที่จำเลยกำลังออกประตูนั้นไม่น่าเชื่อเพราะขณะคนร้ายออกจากประตูบ้านคนร้ายหันหลังให้ผู้เสียหาย ประกอบกับขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืนและคนร้ายกำลังหนีซึ่งน่าจะไปด้วยความรีบร้อน โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียว จำเลยให้การปฏิเสธตลอดมา จึงมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่เข้าไปในบ้านและกระทำชำเราผู้เสียหายหรือไม่ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง ส่วนความผิดในข้อหาบุกรุกนั้น ก. เจ้าของบ้านเบิกความรับว่าเมื่อจำเลยเมาสุราจำเลยจะมานอนบนฉางข้าวเป็นประจำทั้งในวันเกิดเหตุเมื่อ ก. พบจำเลยนอนบนฉางข้าง ก. ก็มิได้ว่ากล่าว จึงเชื่อได้ว่าจำเลยเข้าไปนอนบนฉางข้าวโดยวิสาสะ มิได้มีเจตนาบุกรุก จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 364

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5316/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดโดยการชี้ตัว vs. ชี้ภาพถ่าย: ความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐาน
แม้ขณะเกิดเหตุจะเป็นเวลากลางวันและผู้เสียหายเห็นคนร้ายอย่างใกล้ชิดเป็นเวลานาน ผู้เสียหายมีโอกาสที่จะจำคนร้ายได้ แต่การจำคนร้ายได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลผู้ประสบเหตุนั้นด้วย จึงต้องดูพฤติการณ์อื่นประกอบด้วยว่าเพียงพอที่จะรับฟังว่าบุคคลนั้นจำคนร้ายได้หรือไม่ การที่เจ้าพนักงานตำรวจได้ตัวจำเลยมาดำเนินคดีไม่ได้เกิดจากคำให้การของผู้เสียหาย แต่เป็นผลมาจากเจ้าพนักงานตำรวจท้องที่อื่นจับจำเลยได้ในข้อหาปล้นทรัพย์ที่ป้ายรถยนต์โดยสารประจำทางเยื้องห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาลาดหญ้า จำเลยรับว่าได้ปล้นทรัพย์ในท้องที่ภาษีเจริญด้วย จึงมีการแจ้งมาที่สถานีตำรวจนครบาลภาษีเจริญ อ. พนักงานสอบสวนคดีนี้จึงไปถ่ายรูปจำเลยแล้วให้ผู้เสียหายดูภาพถ่ายดังกล่าว แทนที่จะใช้วิธีการชี้ตัวเพื่อพิสูจน์ว่าผู้เสียหายจำจำเลยได้หรือไม่การใช้วิธีให้ผู้เสียหายชี้ภาพถ่ายสมควรกระทำในกรณีที่ไม่อาจใช้วิธีการชี้ตัวบุคคลเนื่องด้วยเหตุผลพิเศษบางประการเช่น ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ เป็นต้น แต่ในกรณีปกติ ถ้าสามารถจัดให้พยานหรือผู้เสียหายชี้ตัวได้ ก็ไม่ควรใช้วิธีชี้ภาพถ่ายแทนเพราะไม่มีผลน่าเชื่อถือเท่ากับวิธีการให้ชี้ตัว เนื่องจากการชี้ตัวได้เห็นตัวบุคคลจริงย่อมมีความแน่นอนกว่า ทั้งต้องกระทำโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลยและพยานอื่นอีกหลายคน ที่ อ. อ้างว่าการที่มิได้จัดให้ผู้เสียหายชี้ตัวจำเลย เพราะต้องเบิกจำเลยมาที่สถานีตำรวจนครบาลภาษีเจริญเป็นการยุ่งยาก ก็ปรากฏว่าการที่จะให้ผู้เสียหายชี้ตัวจำเลยไม่ได้เป็นเรื่องยากเย็นเพราะจำเลยถูกควบคุมตัวอยู่ที่สถานีตำรวจนครบาลสมเด็จเจ้าพระยาห่างกันประมาณ 5 กิโลเมตรเท่านั้น ดังนั้น แม้ผู้เสียหายดูภาพถ่ายแล้วระบุว่าจำเลยคือคนร้ายที่ใช้มีดคัตเตอร์จี้และชกหน้าผู้เสียหาย ก็ยังยากที่จะรับฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายจริง ส่วนการที่ผู้เสียหายชี้จำเลยในศาลนั้นผู้เสียหายเห็นภาพถ่ายจำเลยมาแล้วและสภาพของจำเลยที่อยู่ในห้องพิจารณามีความแตกต่างจากผู้อื่นสามารถรู้ว่าบุคคลใดเป็นจำเลยได้ไม่ยาก ไม่อาจใช้พิสูจน์ว่าผู้เสียหายจำได้ว่าจำเลยคือคนร้าย เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำผิดคดีนี้ จึงมีเหตุน่าสงสัยว่าหากจำเลยทำผิดคดีนี้ด้วย จำเลยก็น่าจะรับสารภาพต่อ อ. เช่นเดียวกับที่ให้การรับสารภาพต่อเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลสมเด็จเจ้าพระยา พยานหลักฐานโจทก์ยังเป็นพิรุธน่าสงสัยว่าจำเลยอาจจะไม่ใช่คนร้ายที่ปล้นทรัพย์ผู้เสียหายก็ได้จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 48/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดจากการจดจำของผู้เสียหาย และความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐาน
เหตุเกิดเวลาประมาณ11นาฬิกาก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายมีโอกาสเห็นจำเลย2ครั้งซึ่งมีระยะเวลานานพอสมควรที่ผู้เสียหายจะจำคนร้ายได้และเมื่อผู้เสียหายพบจำเลยในเวลาต่อมาก็ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายจึงเชื่อว่าผู้เสียหายจำจำเลยว่าเป็นคนร้ายได้แน่นอนไม่ผิดตัวG โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่8กรกฎาคม2537เวลากลางวันจำเลยกับพวกอีก1คนราคา4,500บาทร่วมกันชิงทรัพย์เงินจำนวน800บาทสร้อยคอทองคำหนัก2บาทราคา9,500บาทและสร้อยคอทองคำหนัก1บาทราคา4,500บาทรวมราคาทรัพย์14,800บาทของนางสำรวนเชื้อปรางผู้เสียหายโดยจำเลยกับพวกใช้กำลังประทุษร้ายผลักผู้เสียหายล้มใช้อาวุธปืนขู่บังคับว่าทันใดนั้นจะยิงผู้เสียหายและจำเลยกับพวกได้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะทั้งนี้เพื่อให้ความสะดวกแก่การชิงทรัพย์ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์พาทรัพย์นั้นไปและเพื่อให้พ้นจากการจับกุมเหตุเกิดที่ตำบลไร่เก่าอำเภอปราณบุรีจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมรถจักรยานยนต์คันหมายเลขทะเบียนราชบุรีน-3232ที่จำเลยกับพวกใช้ในการกระทำความผิดเป็นของกลางขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา83,339,340ตรีริบของกลางให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์14,800บาทแก่ผู้เสียหาย จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา339วรรคสองประกอบมาตรา340ตรี,83จำคุก15ปีของกลางริบให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์14,800บาทแก่ผู้เสียหาย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค3พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า"ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่าวันที่8กรกฎาคม2537เวลาประมาณ11นาฬิกานางสำรวนเชื้อปรางผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์เพื่อไปทำไร่เมื่อไปถึงทางแยกเข้าไร่ใหม่ก็จอดรถซื้อของเห็นจำเลยและพวก1คนนั่งอยู่เมื่อซื้อของแล้วผู้เสียหายขับรถไปตามถนนลูกรังขณะอยู่ห่างจากไร่ประมาณ1กิโลเมตรพวกของจำเลยขับรถจักรยานยนต์ให้จำเลยนั่งซ้อนท้ายไล่ตามทันผู้เสียหายและแล่นคู่กันจำเลยกระชากแขนขวาของผู้เสียหายทำให้รถจักรยานยนต์ทั้งสองคันล้มจำเลยเดินเข้าไปหาผู้เสียหายใช้อาวุธปืนสั้นจี้ขู่บังคับห้ามมิให้ผู้เสียหายร้องจากนั้นพวกของจำเลยปลดเอาสร้อยคอทองคำหนัก2บาท1เส้นสร้อยคอทองคำหนัก1บาท1เส้นและล้วงเอาธนบัตรจำนวน800บาทไปจากกระเป๋ากางเกงของผู้เสียหายส่วนจำเลยเดินไปที่รถของผู้เสียหายแล้วหยิบเอากุญแจรถไปจากนั้นพวกของจำเลยขับรถให้จำเลยนั่งซ้อนท้ายหลบหนีผู้เสียหายไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรตำบลไร่เก่าเจ้าพนักงานตำรวจออกติดตามจำเลยกับพวกโดยสอบถามชาวบ้านซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุทราบว่าจำเลยกับพวกขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไปทางหมู่บ้านหนองแกจึงตามไปจนพบบ้านชั้นเดียวมีลักษณะคล้ายกระต๊อบหน้าบ้านประตูปิดเจ้าพนักงานตำรวจเคาะประตูเรียกอยู่ประมาณ10นาทีจำเลยเปิดประตูออกมาเมื่อเห็นเจ้าพนักงานตำรวจจำเลยมีท่าทีตกใจกลัวเจ้าพนักงานตำรวจเห็นรถจักรยานยนต์ยี่ห้อซูซูกิสีดำไม่มีแผ่นป้ายทะเบียนจอดอยู่จึงสั่งให้จำเลยนำรถจักรยานยนต์ออกมาตรวจสอบและถามจำเลยว่าขับรถจักรยานยนต์ไปไหนและให้ใครยืมรถจักรยานยนต์ไปใช้หรือไม่จำเลยบอกว่าไม่มีแต่เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจับเครื่องยนต์ดูปรากฏว่าเครื่องยนต์ยังร้อนเป็นพิรุธจึงควบคุมตัวจำเลยไปให้ผู้เสียหายดูตัวเมื่อผู้เสียหายเห็นจำเลยและรถจักรยานยนต์ก็ชี้ตัวยืนยันให้เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยเจ้าพนักงานตำรวจจึงจับจำเลยโดยแจ้งข้อกล่าวหาว่าชิงทรัพย์ของผู้อื่นโดยใช้อาวุธปืนและยานพาหนะชั้นจับกุมและสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ จำเลยนำสืบว่าวันเกิดเหตุเวลาประมาณ8นาฬิกาจำเลยพาภริยาไปคลอดบุตรที่โรงพยาบาลกุยบุรีกลับจากโรงพยาบาลกุยบุรีเวลาประมาณ15นาฬิกาต่อมาเวลาประมาณ16นาฬิกาเจ้าพนักงานตำรวจให้ผู้เสียหายไปดูตัวจำเลยและค้นบ้านจำเลยผู้เสียหายดูแล้วแจ้งว่าจำเลยไม่ใช่คนร้ายแล้วค้นบ้านจำเลยแต่ไม่พบสิ่งของที่ผิดกฎหมายต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจผู้ค้นกลับมาค้นบ้านอีกครั้งขณะทำการค้นสิ่งของภายในบ้านจำเลยเสียหายจึงเกิดโต้เถียงกันเจ้าพนักงานตำรวจจึงจับจำเลยมาดำเนินคดี พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องมีคนร้าย2คนชิงทรัพย์ตามฟ้องของผู้เสียหายไปมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความว่าวันเกิดเหตุเวลาประมาณ11นาฬิกาพยานขับรถจักรยานยนต์ไปทำไร่ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านประมาณ30กิโลเมตรเมื่อขับรถไปถึงบริเวณทางแยกเข้าไร่ใหม่ได้จอดรถเพื่อซื้อของพบจำเลยกับเพื่อนอีก1คนนั่งอยู่อีกร้านหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กันเมื่อซื้อของเสร็จแล้วพยานขับรถจักรยานยนต์เพื่อไปไร่พอจะถึงไร่ห่างกันประมาณ1กิโลเมตรพวกของจำเลยขับรถจักรยานยนต์ให้จำเลยนั่งซ้อนท้ายไล่ตามพยานมาทันขณะที่รถแล่นคู่กันจำเลยกระชากแขนขวาของพยานทำให้รถเสียหลักล้มทั้งสองคันจำเลยลุกขึ้นเดินเข้ามาหาพยานแล้วใช้อาวุธปืนสั้นจี้ขู่บังคับไม่ให้ร้องพวกของจำเลยเข้ามาปลดเอาสร้อยคอทองคำ2เส้นและล้วงเอาธนบัตรจำนวน800บาทจากกระเป๋ากางเกงพยานไปต่อมาจำเลยได้เดินไปที่รถจักรยานยนต์ของพยานแล้วหยิบเอากุญแจรถไปด้วยจำเลยขึ้นนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของพวกจำเลยหลบหนีพยานจำจำเลยและพวกของจำเลยได้เพราะจำเลยกับพวกไม่มีอะไรปกปิดใบหน้าพยานได้วิ่งไปหาสามีพยานที่ไร่แล้วพากันไปแจ้งความต่อผู้ใหญ่บ้านจากนั้นผู้ใหญ่บ้านได้พามาแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรตำบลตลาดไร่เก่าเวลาประมาณ17นาฬิกาเจ้าพนักงานตำรวจพาพยานไปดูตัวจำเลยที่บ้านหลังหนึ่งพยานจำได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายและเห็นรถจักรยานยนต์จอดอยู่บริเวณบ้านจำเลยจำได้ว่าเป็นรถที่จำเลยกับพวกใช้ในขณะเกิดเหตุปัญหาคงมีว่าผู้เสียหายจดจำคนร้ายได้แน่นอนเพียงใดเห็นว่าเหตุเกิดเวลาประมาณ11นาฬิกาผู้เสียหายมีโอกาสเห็นจำเลย2ครั้งกล่าวคือก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายเข้าไปซื้อของที่ร้านแห่งหนึ่งเห็นจำเลยกับพวกนั่งอยู่อีกร้านหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กันขณะเกิดเหตุเมื่อรถจักรยานยนต์2คันล้มจำเลยเดินเข้าไปหาผู้เสียหายผู้เสียหายจึงมีโอกาสได้เห็นหน้าคนร้ายในระยะใกล้เมื่อคนร้ายไปถึงตัวได้ใช้อาวุธปืนจี้พร้อมทั้งห้ามผู้เสียหายมิให้ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือพวกของจำเลยเข้ามาปลดเอาสร้อยคอและล้วงเอาธนบัตรไปก่อนจำเลยจะหลบหนีจำเลยยังได้เดินไปที่รถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายแล้วหยิบเอากุญแจรถไปด้วยจึงมีระยะเวลาที่ผู้เสียหายเห็นคนร้ายนานพอสมควรที่จะจำคนร้ายได้จึงเชื่อว่าผู้เสียหายจำคนร้ายได้แน่นอนไม่ผิดตัวที่จำเลยฎีกาว่าผู้เสียหายเบิกความว่าเจ้าพนักงานตำรวจพาผู้เสียหายไปดูตัวจำเลยที่บ้านแล้วชี้ให้พนักงานตำรวจจับจำเลยแต่จ่าสิบตำรวจชัยวัฒน์คีรีวัฒน์พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้จับจำเลยกลับเบิกความว่ารับแจ้งเหตุแล้วออกติดตามคนร้ายไปหมู่บ้านหนองแกพบรถจักรยานยนต์จอดอยู่ที่บ้านจำเลยเครื่องยนต์ยังร้อนจึงเชิญจำเลยมาสถานีตำรวจพบผู้เสียหายเมื่อผู้เสียหายพบจำเลยแล้วชี้จำเลยว่าเป็นคนร้ายเป็นการแตกต่างกันหาข้อยุติไม่ได้ว่าขณะเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยผู้เสียหายอยู่ด้วยหรือไม่เห็นว่าเมื่อผู้เสียหายพบจำเลยผู้เสียหายยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายข้อแตกต่างดังกล่าวจึงเป็นเพียงพลความหาเป็นพิรุธทำให้คำเบิกความของผู้เสียหายมีน้ำหนักน้อยลงไม่ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้วฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น" พิพากษายืน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4225-4226/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์: พยานเบิกความขัดแย้งกับฝ่ายฟ้อง ศาลพิจารณาจากพยานหลักฐานและข้อต่อสู้ที่น่าเชื่อถือกว่า
การที่ อ. พยานโจทก์เบิกความไม่ตรงกับที่โจทก์และพยานโจทก์ปากอื่นเบิกความ แต่คำเบิกความของ อ. กลับเจือสมกับที่จำเลยให้การ ทำให้ข้อต่อสู้และพยานหลักฐานที่จำเลยที่ 2 นำสืบว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 มีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานโจทก์นั้น หากโจทก์เห็นว่า อ. ซึ่งเป็นพยานที่ฝ่ายโจทก์อ้างมาเบิกความเป็นปรปักษ์แก่โจทก์เอง โจทก์ก็อาจขออนุญาตต่อศาลเพื่อซักถาม อ. เสมือนหนึ่งเป็นพยานซึ่งคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งอ้างมา ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 117 วรรคหก แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ขออนุญาตต่อศาลเพื่อซักถาม อ. พยานโจทก์เสมือนหนึ่งเป็นพยานที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งอ้างมา ดังนี้จะถือว่า อ. เบิกความเป็นปรปักษ์ต่อโจทก์ยังไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 316/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาคดีปล้นทรัพย์โดยอาศัยพยานหลักฐานที่ไม่น่าเชื่อถือ ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกายกฟ้องจำเลยที่ 4
ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืนคนร้ายซึ่งมีจำนวนหลายคนบังคับให้ผู้เสียหายทั้งสองนอนคว่ำหน้าลงกับพื้นโอกาสที่ผู้เสียหายทั้งสองจะเห็นหน้าคนร้ายได้ชัดเจนจึงเป็นไปได้น้อยมากแม้ผู้เสียหายทั้งสองจะเบิกความว่าคนร้ายที่ตนจำได้คือจำเลยที่4แต่คนร้ายดังกล่าวสวมหมวกไอ้โม่งปิดถึงหน้าผากยิ่งทำให้ยากแก่การจดจำเพราะไม่ปรากฏว่าคนร้ายดังกล่าวมีหน้าตาเป็นตำหนิผิดแผกแตกต่างไปจากบุคคลทั่วไปคำเบิกความของผู้เสียหายทั้งสองจึงมีน้ำหนักน้อยนอกจากนี้ผู้เสียหายทั้งสองยังเบิกความแตกต่างขัดแย้งกันแสดงให้เห็นว่าผู้เสียหายทั้งสองจำคนร้ายสับสนเพราะมีด้วยกันหลายคนเมื่อคำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์ดังกล่าวมีพิรุธสงสัยลำพังคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยที่4จึงนำมารับฟังลงโทษจำเลยที่4ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3027/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความน่าเชื่อถือในการจับยึดของกลางในครอบครอง โดยไม่มีพยานหลักฐานเชื่อมโยงถึงตัวผู้ต้องหา และการรับสารภาพที่เกิดจากความกลัว
เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับจำเลยพบเมทแอมเฟตามีนของกลางอยู่ในเล้าหมูข้างบ้านจำเลยแม้เล้าหมูเป็นของจำเลยแต่บริเวณบ้านของจำเลยไม่มีรั้วล้อมและยังมีบ้านของผู้อื่นอีกหลายหลังอยู่ใกล้กับบ้านของจำเลยดังนั้นบุคคลอื่นย่อมสามารถเดินผ่านเข้าออกในบริเวณบ้านของจำเลยได้โดยสะดวกประกอบกับจำเลยไม่ได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านโดยลำพังหากแต่พักอาศัยอยู่กับบิดามารดาของจำเลยด้วยนอกจากนี้ยังมีบ้านที่กำลังอยู่ในระหว่างก่อสร้างใกล้ๆกับเล้าหมูทั้งวัตถุออกฤทธิ์ของกลางในเล้าหมูก็ปรากฏเพียงบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกสีแดงวางไว้ที่พื้นเล้าหมูโดยไม่มีสิ่งใดปกปิดสามารถมองเห็นได้โดยง่ายไม่มีลักษณะเป็นการซ่อนเร้นแต่อย่างใดกรณีอาจเป็นของคนงานก่อสร้างบ้านนำมาวางไว้เพื่อเสพในระหว่างทำงานก่อสร้างก็ได้ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยมีพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องกับวัตถุออกฤทธิ์แต่อย่างใดส่วนคำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมนั้นจำเลยนำสืบโต้แย้งว่าเหตุที่รับสารภาพเพราะเจ้าพนักงานตำรวจบอกว่าจะจับกุมบิดามารดาไว้ดำเนินคดีซึ่งขณะนั้นบิดามารดาจำเลยไม่อยู่จำเลยไม่ทราบว่าบิดามารดาจะรู้เห็นเกี่ยวข้องกับเมทแอมเฟตามีนของกลางหรือไม่จึงเกรงว่าบิดามารดาจะเดือดร้อนจึงรับสารภาพประกอบกับจำเลยสำคัญผิดว่าเมื่อเมทแอมเฟตามีนอยู่ในเล้าหมูของจำเลยจำเลยจะต้องรับผิดชอบซึ่งสอดคล้องกับคำให้การในชั้นสอบสวนในวันเดียวกันอันเป็นเวลาใกล้เคียงกับที่จำเลยถูกจับกุมจึงยังไม่ทันมีเวลาคิดวางแผนการต่อสู้คดีดังนั้นข้อเท็จจริงอาจจะเป็นดังที่จำเลยต่อสู้ก็เป็นได้เมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา227วรรคสอง
of 21